สารัญ Creditbank Credit card bank

123

12/10/2552

ปลดปล่อย “ความเก่ง” ในตัวลูก


ปลดปล่อย “ความเก่ง” ในตัวลูก
คาร์ล โรเจอร์ (Carl Rogers) นักจิตวิทยาการเรียนรู้ ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจในหนังสือ Freedom to Learn ว่า
มนุษย์เราถูกสร้างมาเพื่อเรียนรู้ ทุก ๆ คนมีศักยภาพในการเรียนรู้ได้ และสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาคือ
การเรียนรู้ เรื่องใดก็ตามที่สามารถสอนได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ
การถูกบังคับให้เรียนเท่ากับเป็นการนำความเจ็บปวดมาให้กับผู้เรียนมากกว่า
ทั้งนี้ วิธีการที่ถูกต้องคือ การส่งเสริมให้เขาได้ใช้ความสามารถในการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวให้มากที่สุด

คนเราทุกคนที่เกิดมาได้รับสิ่งหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือ เมล็ดพันธุ์แห่งความสามารถในการเรียนรู้
มนุษย์เราได้รับการออกแบบมาให้เรียนรู้ ลองสังเกตลูก ๆ ของเรา ตั้งแต่ยังเป็นทารก
พฤติกรรมต่าง ๆ ของเขาเสมือนหนึ่งว่า เขากำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญ คือ เรียนรู้จักโลกนี้ให้มากที่สุด

แต่ความจริงที่น่าเศร้า คนจำนวนมากกลับซ่อนความสามารถในการเรียนรู้ของพวกเขาไว้
ทั้งนี้อาจเกิดจากประสบการณ์เจ็บปวด อันเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของพวกเขาในอดีต
ทำให้เขายุติความสามารถในการเรียนรู้ไปเสีย

ที่ผ่านมา ผมได้ลองสำรวจดูว่า ลักษณะของคนที่เก่ง ฉลาด ในระดับแนวหน้าของโลกจำนวนหนึ่ง
พบความจริงที่น่าสนใจว่า คนเหล่านี้ มักจะมีชุดของลักษณะนิสัยชุดหนึ่งที่เหมือน ๆ กัน
ที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เด็ก และไม่ได้หายไปตามกาลเวลา
พวกเขาสามารถรักษาและพัฒนาลักษณะนิสัย “เรียนรู้” เหมือนเช่นเด็กเล็ก ๆ ไว้ได้ อันได้แก่

อยากรู้อยากเห็น
มนุษย์เราเริ่มต้นชีวิตด้วยแรงปรารถนาจากธรรมชาติให้กระหายใคร่รู้ในสิ่งต่าง ๆ
สำหรับบางคนเมื่อเติบโตขึ้นสิ่งเหล่านี้กลับเลือนหายไป เบื่อหน่ายต่อการเรียนรู้
แต่คนเก่งจะมีความกระตือรือร้น ปรารถนาเรียนรู้ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว
สังเกตได้จากสีหน้าที่มีความตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และมักเป็นคนที่ชอบตั้งคำถาม

สังเกตสิ่งรอบตัว
เด็กเก่งที่แท้จริงจะไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งเท่านั้น แต่จะเป็นคนที่ให้ความสนใจต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว
เหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่มองว่าทุกสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่น่าเรียนรู้ไปหมด
โลกนี้มีสิ่งใหม่สำหรับพวกเขาเสมอให้เขาได้จดจ่อเรียนรู้ได้ตลอดเวลา

กล้าเผชิญสิ่งที่ท้าทาย จากความหิวกระหายใคร่รู้ในเรื่องต่าง ๆ รอบตัว
ทำให้กลายเป็นคนที่มีนิสัยไม่กลัวความยากลำบากหรือความล้มเหลว
จะไม่เลือกความสบายหรือทำสิ่งง่าย ๆ ที่ตนเองสามารถทำได้อยู่แล้วก่อน
แต่ยินดีเลือกที่จะยากลำบากถ้าทำให้ไปถึงเป้าหมาย
เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ แม้เหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม

มีแรงจูงใจจากภายใน
แรงจูงใจในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จะเกิดจากความปรารถนาภายใน มากกว่าการถูกดึงดูดด้วยการให้รางวัล
หรือการลงโทษ ดังนั้น ในการเลือกเรียน เขาจะเลือกเรียนวิชาที่เขาสนใจจริง ๆ
โดยไม่สนใจว่าวิชานั้นจะยากเพียงใด รวมทั้ง การหยิบยื่นเงื่อนไขด้านรางวัลของพ่อแม่ก็จะไม่มีผลในการจูงใจ
เท่ากับความกระหายใคร่รู้ที่เกิดขึ้นจากภายในตัวเขาเอง ไม่เพียงเท่านั้น คะแนนสอบหรือเกรดที่ได้รับ
แม้เขาจะยอมรับว่ามันสำคัญ แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความรู้สึกว่า เสียใจหรือปลาบปลื้มใจ
เพราะตระหนักในความจริงว่า คะแนนที่ได้รับนั้นไม่ใช่เหตุผลเดียวในการศึกษาเรียนรู้ของเขา
และคุณค่าในตัวเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้

จดจ่อ ศึกษา ค้นคว้า ฝึกฝน..จนรู้จริง
เมื่อต้องการเรียนรู้เรื่องใด เขาจะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่สนใจได้เป็นเวลานาน
ความตั้งใจศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง ยิ่งในวิชาที่ยาก ต้องทำความเข้าใจและใช้ทักษะในการฝึกฝน
จนกระทั่งรู้เรื่องนั้นอย่างกระจ่างจนกระทั่งมันกลายเป็นธรรมชาติที่สอง (second nature)
และสามารถประยุกต์สิ่งที่เรียนให้กับสถานการณ์ใหม่และแตกต่างจากเดิมได้

ยินดีรับการเปลี่ยนแปลง
คนเก่งส่วนใหญ่จะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ในทางตรงกันข้าม กลับชอบที่จะต้อนรับมัน ชอบวิพากษ์ความคิดของตนเอง
ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดหรือมุมมองของตนเองที่มีต่อเรื่องต่าง ๆ ไม่จำกัดด้วยกรอบเหตุผลของตนเอง
แต่ชอบที่จะรับฟังความคิดเห็นในมุมตรงกันข้าม
ชอบที่จะนำความรู้ใหม่ ๆ มาท้าทายตนเอง มิใช่เพื่อหาข้อโต้แย้ง แต่เพื่อหาคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้

มองโลกในแง่บวก และมีความคิดสร้างสรรค์
ในสิ่งที่คนอื่นอาจมองว่าโง่เขลาหรือไร้สาระ คนเหล่านี้จะมองเห็นโอกาสในการสร้างสรรค์
และสามารถที่จะรวบรวมเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากขอบเขตความรู้ที่กว้างขวางของวิชาต่าง ๆ
และนำมาประกอบเชื่อมโยงกันเข้าในวิธีการใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ออกมา
ที่สำคัญ มักจะเป็นคนที่ความสุขกับชีวิต ยอมรับตนเอง ยอมรับคนรอบข้าง
และสิ่งท้าทายต่าง ๆ ที่เผชิญหน้าเข้ามาในชีวิต

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผมตระหนักเสมอว่า ลักษณะนิสัยของนักเรียนรู้จะต้องมีอยู่ในตัวเราทุกคน
แม้เวลาจะผ่านไปพ้นวัยเด็กไปแล้วก็ตาม เพราะสิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่า เมื่อลูก ๆ ของเราเติบโตขึ้น
พร้อม ๆ กับนิสัยของนักเรียนรู้ เขาจะสามารถเป็น “เด็กเก่ง” ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม


ที่มา สื่อกลาง

ความสำเร็จใกล้แค่เอื้อม

ความสำเร็จใกล้แค่เอื้อม
ในโลกของเรานี้ ต่างก็มีทั้งคนพบกับความสำเร็จและพบกับความพ่ายแพ้ ล้มเหลว

บาง คนมีความสุข กับชีวิตเสมอ แต่บางคนกลับไม่เคยมีความสุขกับชีวิตเลยแม้แต่น้อย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
นั่นก็อาจเป็นเพราะวิถี ชีวิตของคนเราเปรียบเสมือนทางเดินที่แสนไกล จึงไม่อาจราบรื่นตลอดทาง
ขึ้นอยู่กับว่ายามพบอุปสรรค ขวากหนามแล้วเราจะแก้ปัญหาด้วยท่าทีชนิดไหน
ถ้าหากเสริมจิตใจให้เข้มแข็ง ทรหดอดทนไม่กลัวความลำบาก กล้าที่จะพิชิดอุปสรรคขวากหนามทั้งปวง
เราก็จะเป็นผู้ชนะ อนาคตจะมีแต่ความรุ่งเรือง แจ่มใส แต่ถ้าเราอ่อนแอ ยอมก้มหัวให้แก่อุปสรรคขวากหนาม
เราก็จะเป็นผู้แพ้ ต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทมตลอดไป

ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องปฏิบัติตามเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ ดังนี้

1. มีความหวัง
ถ้าคนเราไม่มีความหวังก็คงจะเฉาตาย เปรียบดังปลาที่แยกออกจากน้ำ ซึ่งต้องแห้งตาย แน่ ๆ
ทว่าคนเราแตกต่างจากปลาตรงที่ปลามีน้ำพอแล้ว แต่ความหวังของคนเรานั้นไร้ขอบเขต
มันขยายตัวใหญ่ ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าอยากเห็นความหวังปรากฏเป็นจริง เราก็ต้องเติมพลังให้ตัวเองเสียก่อน

2. มีอุดมการณ์
คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง และความหวังอันนี้ก็ควรจะเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่
ความหวังที่ยิ่งใหญ่อันนี้แหละคือ อุดมการณ์
ถ้าอยากประสบความสำเร็จเราก็จะต้องก้าวหน้าไปทีละขั้น ๆ ตาม อุดมการณ์ที่ตั้งไว้

3. มีความเชื่อมั่น
เมื่อมีความหวัง มีอุดมการณ์แล้วก็ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง
เชื่อมั่นว่าเราสามารถ บรรลุภาระหน้าที่ได้อย่างราบรื่นแน่นอน
เชื่อมั่นว่าราสามารถเอาชนะความยากลำบากและอุปสรรคทั้งปวงได้
ถ้าหากแม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะให้ผู้อื่นเชื่อเราได้อย่างไร

4. ต้องมีความเพียรพยายาม
ความเพียรพยายามเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการชี้ขาดว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
ถ้าเรามีความหวัง มีอุดมการณ์ มีความเชื่อมั่นแต่ขาดความเพียรพยายามทุกอย่างก็ล้มครืนลงได้

5. มีเป้าหมาย
ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามแต่เราจะต้องมีเป้าหมาย
ถ้าไม่มีเป้าหมาย ก็จะสะเปะสะปะเหมือนตาบอดคลำทางไปไม่ถึงฝั่งสักที
เป้าหมายของเราจะต้องถูกต้อง ยืนหยัดต่อสู้ รุ่งโรจน์ก้าวหน้า
เมื่อมีเป้าหมาย เช่นนี้ ย่อมประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน


เกิดเป็นคน ชีวิตมิได้มีค่าเพียงแค่กิน นอน ถ่าย สืบพันธ์เท่านั้น
ถ้า หากมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่สร้าง สรรค์ ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าต่อสู้
เราก็จะเป็นทาสของชีวิต

คนที่เป็นนายของชีวิตคือ คนที่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่กลัวความยากลำบาก ไ
ม่ท้อแท้หดหู่ไม่สิ้นหวัง ไม่เกียจคร้าน เราควรจะ มีโครงการสำหรับอนาคตของตนเอง
ถ้าหากปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรมใช้ชีวิตผ่านพ้นไปวัน ๆ อย่างไร้ จุดหมาย
ชีวิตของเราก็จะมอดม้วยไปโดยไม่แตกต่างอะไรจากต้นไม้ใบหญ้า

เราควรจะสร้างอนาคตของตนเองให้ สดใสรุ่งโรจน์เพื่อความสำเร็จ เพื่ออนาคตของเรา
เราจึงต้องขยันขันแข็ง ต้องทรหดอดทน ต้องพึ่งตนเอง อย่าหวังพึ่งคนอื่นมากนัก
เพราะในโลกนี้ไม่มีใครที่จะยอมช่วยเหลือเราตลอดเวลา การหวังพึ่งคนอื่นจึงเหมือนกับการยืมจมูกคนอื่นหายใจ
จะสะดวกปลอดภัยมั่นคง มีศักดิ์ศรีเท่ากับหายใจด้วยรูจมูกของเราได้
หรือจำไว้ว่า อนาคตกุมอยู่ในกำมือของเราเองมิใช่ฟ้าลิขิต

โดย รุ้งมณี แสวงผล
กรมสุขภาพจิต

เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

ในความเป็นจริงแล้ว คนเรายังมีศักยภาพซ่อนอยู่ในตัวเองอีกมากมาย เพียงแต่เรายังไม่เคยคิดที่จะค้นหา
บางคนคิดจะค้นหาแต่ยังไม่รู้ว่าจะค้นหาได้อย่างไร บางคนเคยลองค้นหาแล้วเจอบ้างไม่เจอบ้าง
และขาดการค้นหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะขาดความอดทน ทำอะไรมักจะทำแบบชั่วครั้งชั่วคราว
นิยมอะไรก็นิยม เป็นพักๆ เป็นแฟชั่น เราจะเห็นว่าถ้ามีทฤษฎีหรือหลักการอะไรที่เข้ามาใหม่ๆในเมืองไทย
มักจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่มักจะเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น แล้วคนไทยก็ค่อยๆลืมของเก่า
โดยที่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่พอของใหม่ เข้ามาก็หันไปให้ความสนใจกับสิ่งใหม่ๆ แทน

ผมเชื่อว่าถ้าจะพูดถึงองค์ความรู้ที่มีอยู่ในหัวสมองของคนทำงานในบ้านเรา มีไม่น้อยกว่าชาติอื่นอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่เราอาจจะด้อยกว่าเขาก็คือ เรายังขาดการพัฒนาและริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆด้วยตัวเราเอง
เราชอบจำวิธีการของคนอื่นมาประยุกต์ใช้มากกว่าคิดและพัฒนาขึ้นมาเอง
จะเห็นได้จากเทปผีซีดีเถื่อนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดอันนี้แสดงให้เห็นว่า
นอกจากเราจะไม่เคารพในศักยภาพของตัวเองแล้ว เรายังชอบทำมาหากินบนความคิดของคนอื่นอีกด้วย
สิ่งนี้คงจะมัวไปนั่งโทษใครไม่ได้เพราะระบบการเรียนการสอนในอดีต มักจะสอนให้เราท่องจำมากกว่าการคิด
และแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าคนทำงานในบ้านเราไม่เก่งนะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า
ถ้าเราได้เปิดโอกาสให้กับตัวเองเพื่อวิเคราะห์ ค้นหาและพัฒนาศักยภาพทางการคิด
โดยเฉพาะการคิดสร้างสรรค์ให้กับ ตัวเองอีกสักนิด รับรองได้ว่าศักยภาพทางการแข่งขันในเรื่องต่างๆของเรา
จะเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว สมองของเราก็เปรียบเสมือนกำลังการผลิตของเครื่องจักรในโรงงาน
ปัจจุบันเรายังผลิตไม่เต็มกำลังของเครื่องจักร หรือบางครั้งเครื่องจักรบางเครื่องเรายังไม่ได้ใช้งานมันเลย

ผมจึงขอแนะนำวิธีการในการพัฒนากำลังการผลิตของสมองให้เต็มที่ ด้วยวิธีการดังนี้

1. ฝึกคิดเชิงบวก (Positive Thinking)
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำนี้กันมามากต่อมากแล้ว แต่เราเคยนำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันมากน้อยเพียงใด
การคิดเชิงบวก ไม่ใช่เป็นเพียงการมองโลกในแง่ดีเพียงอย่างเดียว
แต่จะต้องแสวงหาโอกาสจากบุคคล สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องฝึกคิดว่ามีอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราบ้าง เช่น
*ถ้าเราตกงานเราก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้มีเวลาพัฒนาตัวเองแบบเต็มเวลา
*ถ้าเราอกหักก็คิดเสียว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เปิดโอกาสให้กับคนดีๆอีกหลายคนเข้ามาในชีวิตของเรา
*ถ้าเราเครียดมากๆ ก็ให้คิดเสียว่าจะได้เป็นการทดสอบความแข่งแกร่งของจิตใจว่า
จะสามารถรับมือกับสภาพความเครียดได้มากน้อยเพียงใด
เพราะในอนาคตเราอาจจะ มีเรื่องที่เครียดมากกว่านี้ก็ได้

การฝึกคิดเชิงบวก นอกจากจะช่วยให้เราฝึกการแสวงหาโอกาสแล้วยังช่วยให้เราเกิดการเรียนรู้ที่เหนือกว่าคนอื่น
เพราะถ้าเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เราสามารถเรียนรู้ทั้งสิ่งที่คนทั่วไป เขารู้กันแล้วเรายังเรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นๆ เขา
มองข้ามไป เมื่อเราฝึกแบบนี้ไปนานๆ หลายๆครั้งเข้า จำนวนเท่าของความรู้ของเราจะเหนือกว่าคนทั่วไป
อย่างน้อยสองสามเท่าตัว

2. ฝึกคิดย้อนศร (Backward Thinking)
ใครก็ตามที่คิดไปในแนวทางเดียวกันกับที่คนทั่วๆไปคิด ความคิดเราจะไม่เกิดความแตกต่าง
แต่เมื่อไหร่ก็ตามเราคิดสวนทางกับคนอื่น อาจจะทำให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ดีๆขึ้นมาก็ได้

เราจะเห็นได้จากคนหลายคนได้ดีจากการทำธุรกิจที่ตรงกันข้ามจากคนอื่น เช่น ปกติรถเสียต้องพารถไปหาอู่
แต่เมื่อคิดใหม่คือเอาอู่ไปหารถ จึงทำให้เกิดธุรกิจบริการซ่อมรถฉุกเฉินขึ้นมามากมาย
หรือเมื่อก่อนถ้าเราจะกินพิซซ่า เราจะต้องไปที่ร้าน แต่เมื่อมีคนคิดย้อนศรคือ ให้พิซซ่าไปหาลูกค้า
ก็เลยเกิดธุรกิจ Home Delivery ขึ้นมามากมาย ปัจจุบันนี้ไม่เพียงแต่การซ่อมรถหรือการขายพิซซ่าเท่านั้น
แต่การคิดย้อนศรในลักษณะนี้ก่อให้เกิดธุรกิจอีกมากมาย ไม่ว่าการส่งดอกไม้ ร้านหนังสือ ร้านวีดีโอ เป็นต้น

การคิดย้อนศรนี้จะช่วยให้เราไม่หลงไปกับกระแสของสังคม
การฝึกคิดเช่นนี้บ่อยๆ จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวได้ดีในกรณีที่กระแสเกิดการเปลี่ยนทิศอย่างกระทันหัน
เหมือนกับการที่เราขับรถ ถ้าเราขับเป็นแต่เกียร์เดินหน้าเพียงอย่างเดียว ลองนึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่า
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราขับเข้าไปติดอยู่ในซอยตัน การพัฒนาศักยภาพทางการคิดก็เช่นเดียวกัน
ต้องเตรียมพร้อมทั้งคิดไปข้างหน้าตามกระแส แต่อย่าลืมคิด ย้อนกลับหลังบ้างเป็นระยะๆ

3. ฝึกคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ (Impossible Thinking)
จากอดีตถึงปัจจุบันเราคงเคยมีประสบการณ์ที่ว่า บางสิ่งบางอย่างที่เราเคยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ในอดีต
แต่ในปัจจุบันมันเป็นไปได้และเป็นไปแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในวันนี้ เหตุการณ์นี้ สถานที่นี้
มันอาจจะเป็นไปได้ในอนาคต ในเหตุการณ์ หรือสภาพแวดล้อมอื่นสถานที่อื่น
ดังนั้นอะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าเพิ่งด่วนตัดทิ้งไป
เพราะนั่นเท่ากับเป็นการดับอนาคตแห่งความคิดสร้างสรรค์ของตัวเราเอง

ความคิดสร้างสรรค์แบบนี้ เราสามารถเห็นตัวอย่างได้จากภาพยนต์การ์ตูน หรือภาพยนต์บางประเภทที่เราคิดว่า
มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราอย่าลืมว่าความคิดที่เป็นไปไม่ได้เหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวจุดชนวนทางความคิดให้กับ
นักวิทยาศาสตร์นำไปค้นคว้าวิจัยเพื่อนำไปสู่ความเป็นไปได้ต่อไป ในอดีตใครเคยคิดบ้างว่าเรื่องการ Copy หรือ
การโคลนนิ่งสัตว์หรือมนุษย์จะเป็นไปได้ ใครเคยคิดบ้างว่ามนุษย์จะมีธุรกิจการท่องเที่ยวในอวกาศ
ใครจะคิดบ้างว่าคนที่อยู่กันคนละโลกสามารถพูดคุยกันแบบเห็นหน้าค่าตาได้เหมือนสมัยนี้
ถ้านำเอาความคิดในลักษณะนี้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงานจะพบว่า
เรามักจะตกหลุมพรางทางความคิดของเราเองกันอยู่บ่อยๆ พอคิดจะทำโน่นทำนี่ เราก็มักจะถูกขัดขวางด้วย
ความคิดที่ว่ามันทำไม่ได้หรอก หัวหน้าเขาคงไม่มีงบประมาณ ผู้บริหารคงไม่สนับสนุนหรอก
บริษัทนี้เขางกจะตายไป คนไม่พอหรอก ทำยากไม่มีเครื่องมือ ฯลฯ
ความคิดในลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมายกับคนทำงาน สาเหตุที่สำคัญคือ
เรามักจะนำเอาสภาพแวดล้อมภายนอกมาทำลายต้นกล้าแห่งความคิดสร้างสรรค์ของเราเสียเอง ทำให้เราไม่มี
โอกาสได้คิดไปถึงที่สุดว่าจริงๆแล้วที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้นั้น จริงๆ แล้วมันเป็นจริงเช่นนั้นหรือไม่

มีผู้เข้าสัมมนาท่านหนึ่งเคยถามผมว่า ถ้าเรามีความคิดออกแบบอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว
และคิดว่ามันเป็นนวตกรรม ใหม่ แต่เราไม่มีเงินทุนที่จะทำธุรกิจ เราจะทำได้อย่างไร ผมก็ถามต่อว่าคุณคิดว่า
จำเป็นหรือไม่ที่การลงทุนจะต้องตามมาด้วยเงินทุนจากกระปุกออมสินของเราเสมอ เขาก็ตอบว่าไม่แน่
แล้วผมก็ถามต่อว่าแล้วทำอย่างไรได้บ้าง เขาก็ตอบว่ากู้เงิน ร่วมทุนกับคนอื่น ขายลิขสิทธิให้กับคนอื่น
แล้วผมจึงถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าที่คุณคิดว่า ความคิดของคุณเป็นไปไม่ได้ในการทำธุรกิจนั้น
จริงๆ แล้วมันเป็นไปได้หรือไม่ เขาก็ตอบว่าเป็นไปได้
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่จะบอกเราว่าคนเราส่วนมากมักจะด่วนสรุปว่าสิ่งที่เราคิดนั้นเป็นไปไม่ได้
หรือเป็นไปได้ยากมาก เพราะเรามักจะยึด ติดกับกรอบการคิดแบบเดิมๆ แบบที่คนทั่วๆไปเขาคิดกัน

4 . ฝึกคิดบนหลักของความเป็นจริง (Thinking Based Principle)
การฝึกคิดแบบนี้คือการคิด วิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยย้อนกลับไปหาหลักความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆว่าคืออะไร เช่น
คนที่สามารถผลิตเครื่องบินได้นั้นจะต้องเข้าใจถึงหลักความเป็นจริงในเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกก่อนจึงจะ
สามารถออกแบบเครื่องบินได้ ต้องเข้าใจว่าการบินได้นั้น จะต้องมีพลังขับเคลื่อนเท่าไหร่ มีความเร็วเท่าไหร่
จึงจะสามารถหนีออกจากแรงโน้มถ่วงของโลกได้

ถ้าเราพูดถึงการผ่าตัด เรามักจะยึดติดกับมีดเพียงอย่างเดียว แต่หลักความเป็นจริงของการผ่าหรือการตัด หมายถึง
การทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแยกออกจากกัน ถ้าเรายึดเอาวิธีการเป็นตัวตั้งเราก็จะตอบได้เพียงอย่างเดียวว่า
การผ่าตัด คือการใช้มีด แต่ถ้าเราเอาหลักความเป็นจริงเป็นตัวตั้ง วิธีการเป็นตัวตามแปร
การผ่าตัดอาจจะทำได้มากกว่าการใช้มีด เช่น การใช้ความร้อน ใช้ลวด ใช้กรรไกร ใช้ความเย็น ใช้รังสี
ใช้ความคมของกระดาษ เป็นต้น

5. ฝึกคิดข้ามกล่องความรู้ (Lateral Thinking )
การคิดข้ามกล่องความรู้คือ การนำเอาความรู้ที่เรามีอยู่ในหัวในเรื่องต่างๆ มาคิดไขว้กัน
ยิ่งเรามีกล่องความรู้หลากหลาย โอกาสที่เราจะคิดข้ามกล่องเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ ก็มีมากยิ่งขึ้น
ถ้าเรามีกล่องความรู้เพียง 2 กล่อง โอกาสที่เราจะคิดไขว้หรือข้ามกล่องก็มีเพียง 1 ชุด
แต่ถ้าเรามีกล่อง ความรู้ 3 กล่อง โอกาสที่เราจะคิดไขว้กันก็มีมากขึ้นเป็น 2 ชุด
ยิ่งมีกล่องมากเท่าไหร่ จำนวนชุดของความคิดไขว้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เป็นทวีคูณ

เราคงเคยได้ยินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ที่ผู้คิดค้นได้นำเอากล่องความรู้เกี่ยวกับการปรุงก๋วยเตี๋ยวมาผสมกับกล่อง
ความรู้ในการทำต้มยำ(น้ำข้นหรือน้ำใส) เราคงเคยได้ยินผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าแอร์มุ้งที่เป็นการผสมผสานระหว่าง
กล่อง ความรู้ด้านแอร์กับกล่องความรู้ด้านมุ้ง เราคงเคยได้ยินคนเลี้ยงปลาดุกในห้องเช่าที่เป็นการผสมผสาน
ความคิดระหว่างกล่องความรู้เรื่องห้องเช่ากับกล่องความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาในบ่อ ดิน

6. ฝึกคิดแบบแตกหน่อทางความคิด (Germination Thinking)
เป็นการคิดโดยกำหนดจุดเริ่มต้นจากสิ่งที่ เป็นอยู่หรือมีอยู่ในปัจจุบัน
แล้วแตกความคิดออกไปสู่ทิศทางต่างๆ รอบตัว ดังภาพข้างล่างนี้

การคิดสร้างสรรค์แบบนี้จะช่วยให้ง่ายต่อการจัดกระบวนการคิด เพราะเป็นการคิดพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่
แล้วเพิ่มสิ่งใหม่ๆ เข้ามาที่ละเล็กละน้อย
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่าเมื่อเราคิดแตกหน่อจากปากกาออกไปเป็นปากกาไม่ต้องเติมน้ำหมึกแล้ว
ก็สามารถคิดต่อไปอีกว่าปากกาที่ไม่ต้องเติมน้ำหมึกนั้น สามารถพัฒนาต่อในด้านอื่นๆอีกหรือไม่
เมื่อเราคิดพัฒนาแตกหน่อออกไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าความคิดที่หน่อสุดท้าย
อาจจะมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับจุดเริ่มต้น(ปากกา)

การคิดในลักษณะนี้จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการคิดข้ามกล่องเข้ามาช่วยในการคิดแตกหน่อจากหน่อเดิมไปสู่
หน่อใหม่ๆ และที่สำคัญเราสามารถมองเห็นทั้งกระบวนการคิดและผลลัพธ์ทางการคิดในลักษณะของแผนผัง
ความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน

จากวิธีการฝึกเพื่อพัฒนาศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ดังกล่าว จะเห็นว่าเราสามารถพัฒนารูปแบบการคิดของเราได้
หลายวิธี เพียงแต่เราต้องให้ความสำคัญกับการคิดสร้างสรรค์อย่างจริงจัง นำเอาวิธีการดังกล่าวนี้ไปฝึกคิดกับ
เหตุการณ์ ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เราก็สามารถพัฒนาศักยภาพการคิดให้สูงขึ้นไปได้

ข้อแนะนำเพิ่มเติมที่อยากให้ท่านผู้อ่านนำไปฝึกปฏิบัติ มีดังนี้

1. วิเคราะห์หาปัจจัยเอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง
ขอให้ลองทบทวนดูว่าบรรยากาศ สถานที่ เวลาหรือสภาพแวดล้อม แบบใดที่เราน่าจะทำให้เราสามารถใช้
ความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่ บางคนบอกว่าบรรยากาศใต้ต้นไม้ชายทะเล
บางคนบอกว่าบรรยากาศบนยอดเขาตอนเช้า
แต่ก็มีบางคนเคยบอกผมว่าบรรยากาศในวงเหล้า ความคิดจะแล่นมาก
อันนี้ ก็สุดแล้วแต่ความชอบของสมองของแต่ละคนก็แล้วกันนะครับ เมื่อเราได้ทราบว่าบรรยากาศ สถานที่ หรือ
เวลาแล้ว จะเป็นประโยชน์สำหรับเราในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

บางคนบอกว่าไม่มีโอกาสคิดสร้างสรรค์ เพราะตัวเอง ไม่เคยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์เลย เช่น
เราบอกว่าเราจะสามารถคิดสร้างสรรค์ได้ถ้าอยู่เงียบๆ คนเดียวใต้ต้นไม้ แต่ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา
เราไม่เคยมีโอกาสอยู่คนเดียวเลย อย่างนี้โอกาสที่จะเกิดความคิด สร้างสรรค์คงจะเป็นไปได้ยาก


2. จัดสรรเวลา เพื่อฝึกความคิดสร้างสรรค์
ขอให้จัดสรรเวลาในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน เพื่อฝึกการคิดสร้างสรรค์บ้าง
อย่างน้อยวันละ 5-10 นาทีก็ยังดี
ศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ถือเป็นทักษะที่ต้องการการฝึกฝน เหมือนกับทักษะในด้านอื่นๆ เช่น
เราต้องการเป็นนักฟุตบอลที่เก่ง แต่เราไม่เคยฝึกเตะฟุตบอลเลย อย่างนี้ก็คงจะยาก
เช่นเดียวกันกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่เราต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ


3. บันทึกผลงานการคิดสร้างสรรค์
เราไม่สามารถฝึกให้มีความคิดสร้างสรรค์เพียงชั่วข้ามคืนเดียว
เราไม่สามารถบอกได้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเลิศ
แต่ระยะเวลาที่ผ่านไปพร้อมๆกับการฝึกฝนเท่านั้น จะบ่งบอกเราได้ว่า
เรามีการพัฒนาระดับความคิดสร้างสรรค์ไปถึงไหน และสิ่งสำคัญที่จะบอกเราได้นั่นก็คือ
บันทึกผลแห่งการคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เราน่าจะบันทึกว่าเมื่อวันที่เท่าไหร่
เราคิดสร้างสรรค์เรื่องอะไร เรื่องนั้นๆเกิดขึ้นได้ อย่างไร วิธีการคิดเป็นอย่างไร
เพราะบันทึกนี้นอกจากจะแสดงให้เราเห็นถึงผลงานการคิดสร้างสรรค์แล้ว
ยังบ่งบอก ถึงพัฒนาการทางการคิดได้อีกด้วย เราสามารถนำเอาผลงานการคิดสร้างสรรค์เมื่อสองปีที่แล้วมา
เปรียบเทียบกับ ผลงานในปีนี้ก็ได้ ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ของคนเราจึงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่สำคัญอยู่ที่ว่าใครได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากน้อยเพียงใด คนทุกคนสามารถพัฒนาได้
แต่อาจจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จ

การพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะที่สามารถนำพาเราไปสู่การมีชีวิตแบบ "มูลค่าเพิ่ม" ได้
เพราะผลพวง แห่งการคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างงาน สร้างชีวิตให้กับคนมาแล้วมากมาย
เราจะเห็นได้จากการเกิดธุรกิจแปลก สินค้าใหม่ๆ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอยู่เสมอๆ

ผมมีความเชื่อมั่นว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากพรแสวง
นั่นก็คือตั้งใจ เชื่อมั่น หมั่นฝึกฝนและทดสอบตนเองอยู่เสมอ
สิ่งนี้แหละที่จะนำพาเราออก ขึ้นมาจากหุบเหวทางความคิดแบบสั้นๆ
ขึ้นไปสู่ยอดเขาแห่งความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

อ้างอิง : peoplevalue.co.th

6 วิธีง่ายๆ เพิ่ม IQ

6 วิธีง่ายๆ เพิ่ม IQ

1. ช็อกโกแลตช่วยได้
ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ แล้วคุณอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วเดิมมาเป็นช็อกโกแลตหอมกรุ่น
จะช่วยให้สมองมีพลังวังชาขบคิดปัญหาเครียสๆ แบบผู้ใหญ่ได้ดีทีเดียว

นักวิจัยมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมพบว่า สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลต
ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองใด้นานถึง 3 ชั่วโมง

นพ. เอียน แมคโดนัลด์ หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่า
ข้อดีของช็อกโกแลตคือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองในช่วงที่การรับรู้ของคนเราจะแย่ลง เช่น
ในขณะที่เหนื่อยล้าหรือนอนน้อย ยิ่งถ้าเป็นดาร์คช็อกโกแลตก็จะยิ่งมีฟลาโวนอยด์เข้มข้นขึ้น
ลองซดช็อกโกแลตอุ่นๆ สักแก้วก่อนเข้าประชุม 10 โมงเช้ารับรองว่าสมองคุณจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเลยเชียวล่ะ

2. ดนตรีกล่อมสมอง
"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดาลเป็นคนชอบกลนัก" ก็ขนาดคนใช้สมองเยอะๆ อย่างอาจารย์มหาวิทยาลัย
หรือนักศึกษาปริญญาเอกยังนิยมฟังเพลงกันเลย ปัญญาชนเหล่านี้บอกว่าฟังเพลงคลาสสิกของบีโทเฟนแล้ว
ทำให้สมองผ่อนคลายได้ ทว่าผลการศึกษาครั้งใหม่กลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิกอย่างโมสาร์ตหรือ
เฮฟวีเมทัลกระแทกหูอย่างวงสอ เตอร์เฮดก็เพิ่มพลังให้สมองได้ทั้งนั้น

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์กหรือ NYAS (New York Academy of Sciences) พบว่า
การฟังดนตรีสุดโปรดไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้

ขณะที่วารสาร Nature รายงานว่า ถ้าให้ผู้เข้าทดสอบฟังเพลง 10 นาทีก่อนทำแบบทดสอบ
พวกเขาจะทำคะแนนได้ดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าดนครีมีส่วนอย่างมากต่อการเพิ่มระดับไอคิว
ทีนี้คุณก็มีข้ออ้างในการควักกระเป๋าลงทุนกับเครื่องเสียงแจ่มๆ ที่ไพเราะเสนาะหูแล้วสิ

3. นั่งให้ปลอดโปร่ง
คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม ยิ่งนั่งจมปลักอยู่บนเก้าอี้ทำงานนานๆ สมองยิ่งตีบตันคิดอะไรไม่ค่อยออก
เคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยให้สมองโปร่งโล่งสบาย คือการนั่งเก้าอี้แสนสบาย

ผลการศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า เก้าอี้นั่งที่ไม่ค่อยสบา ยอาจทำให้ความคิดของคุณโดนปิดกั้นไปด้วย
ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยลันด์ในสวีเดนระบุว่า คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
ซึ่งเป็นผลจากการนั่งผิดท่า การบีบอัดกระดูกสันหลังด้วยการนั่งหลังค่อมขณะใช้แป่นคีย์บอร์ด
จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหดตัว ผลคือสมองคุณจะขาดออกซิเจน

ดังนั้นการเลือกเก้าอี้ทำงานดีๆ สักตัวที่ช่วยให้คุณนั่งยืดหลังตรงได้ขณะทำงาน
จึงสำคัญพอๆ กับงานบนหน้าจอของคุณเลยก็ว่าได้

4. พลังจากเนื้อ
ไม่ ว่าคุณจะเป็นมนุษย์ถ้ำ หรือมนุษย์ทำงานจอมแกร่ง กองทัพต้องเดินด้วยท้องอยู่วันยังค่ำ
คุณย่อมไม่มีเรี่ยวแรงพอในใส่เกียร์ห้าหนีเสือป่าที่จ้องจะขย้ำคอ
หรือเคาะตัวเลขในรายงานการขายให้สวยหรูได้แน่ ถ้าท้องคุณร้องโครกครากดังเซ็งแซ่แบบนี้

การหม่ำเบอร์เกอร์ดีๆ เติมกระเพาะและพลังงานให้สมอง ย่อมช่วยได้

ซี โมน พาร์กินสัน นักโภชนาการ แนะนำว่า "เนื้อลูกแกะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและวิตามินบี 12
ซึ่งดีต่อการฟื้นฟูสมองที่อ่อนล้าให้กลับมากระปรี้กระเปร่า และถ้าได้แซมไข่แดงลงไปในเบอร์เกอร์
คุณจะได้โคลีนไปเสริมสร้างการรับรู้ของสมอง
ส่วนผักต่างๆ จะช่วยป้องกัยการเกิดภาวะเครียดจากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป"

5. กินหนึ่งได้ถึงสอง
บางคนที่ไปยิมนอกจากจะเวิร์กเอาต์ให้ได้รูปร่างสมส่วน ยังอาจกินอาหารเสริมควบคู่กันไปเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ
สำหรับใครที่เลือกอาหารเสริมเป็นครีเอทีน ขอบอกว่าคุณตาแหลมมาก เพราะผลการศึดษาครั้งใหม่พบว่า
ครี เอทีนไม่ใช่แค่ดีกับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อสมองของคุณ
เพราะทั้งช่วยเสริมสร้างสมาธิและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและตัวเลขต่างๆ

พญ.แคโรไลน์ เร จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ บอกว่า "อาหารเสริมชนิดนี้เพิ่มพลัง ให้สมอง
สามารถรับมือกับงานด้านการคำนวณ ตลอดจนกระบวนการคิดต่างๆ ให้ดีขึ้น"
อาหารเสริมในรูปแคปซูลจะมีปริมาณครีเอทีนต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าแหล่งอื่นๆ
ดังนั้นพกแคปซูลครีเอทีนติดตัวไปกินตอนเวิร์กเอาต์ช่วงเที่ยงก็เข้าท่าดี
เพราะนอกจากจะทำให้สมองปราดเปรื่องแล้ว ยังทำให้กล้ามคมโตสมใจอีกต่างหาก
(แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

6. หลับฟื้นความจำ
นี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบนอน เพราะการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำให้คุณฉลาดขึ้น
ผลการศึกษาร่วมระหว่างคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พบว่า
การ นอนหลับพักผ่อนช่วยกระตุ้นให้คุณดึงความทรงจำในเรื่องที่พึ่งเรียนรู้ไปไม่นานกลับคืนมาได้
แม้ว่าความทรงจำนั้นจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ไปแล้วหลายชั่วโมงก็ตาม

นพ.เจฟฟรีย์ เอลเลนโบเกน หัวหน้สทีมวิจัย บอกว่า
"นี่แสดงให้เห็นว่า การนอนหลับพักผ่อน ไม่เพียงช่วยปกป้องความจำ
แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบรวมความทรงจำเข้าด้วยกันอีกด้วยครับ"
พูดง่ายๆ คือ ความทรงจำในสมองไม่แตกแถวนั่นเอง

นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หมอนก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน
เพราะหมอนที่รองรับสรีระร่างกายในขณะที่หลับได้ดี
จะช่วยลดปัญหาการหายใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหลับที่ต่อเนื่องยาวนาน

เรื่อง : Men's Health
ที่มา M cot.net

ปลูกต้นไม้แห่งมิตรภาพ


ปลูกต้นไม้แห่งมิตรภาพ
เพื่อนคือบุคคลที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่เราพึงมีในชีวิตนี้ ดังที่ ราฟท์ วาลโด อีเมอร์สัน ได้กล่าวไว้ว่า

“เพื่อนถือได้ว่าเป็นงานชิ้นเอกของธรรมชาติ”
(A friend may well be reckoned the masterpiece of nature. : Raph Waldo Emerson 1803-1882)

เพื่อน คือ บุคคลที่เรารักใคร่ชอบพอ มีความเข้าใจกัน เป็นผู้ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนคติ
ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อนนับเป็นบุคคลสำคัญยิ่งตั้งแต่วัยเด็ก
แต่น่าเสียดายที่เพื่อนกลับเป็นบุคคล ที่เราให้ความสำคัญลดลงไปเรื่อย ๆ ตามวัยที่เปลี่ยนไป

โดย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวสู่วัยทำงาน
หนุ่มสาวจำนวนมากเริ่มแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน และไปใช้เวลากับการทำงาน
ใช้เวลากับคนรัก ครอบครัวเป็นหลัก เพื่อนจึงมีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ ตามวัยโดยที่เราไม่รู้ตัว

ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมิตรภาพระหว่างเพื่อนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีเพื่อนแท้ ที่สามารถสื่อสารระบายความในใจหรือเป็น กำลังใจให้แก่กันได้
เราจึงควรเห็นคุณค่าของการมีเพื่อน และเห็นคุณค่าของการรักษามิตรภาพความเป็น เพื่อนไว้ให้มั่นคง
โดย ขั้นตอนในการสานสัมพันธภาพนั้นเริ่มต้นจาก

สำรวจสถานะเพื่อนรอบข้าง
ถามตัวเองว่าในเวลานี้
ใครเป็นเพื่อนที่เราสนิทสนมที่สุด?
มี จำนวนกี่คน?
เรามีโอกาสใช้เวลาด้วยกันมากน้อยเพียงใด?
ลองเขียนรายชื่อเพื่อนทั้งหมดลงบนกระดาษ เรียงลำดับตามความเหมาะสม
รวมทั้งรายชื่อเพื่อนเก่าในอดีตที่เราไม่ได้ติดต่อมาเป็นเวลานาน

โดยตระหนัก ว่าความสำคัญของการมีเพื่อน ไม่ได้อยู่ที่เรามีเพื่อนมาแล้วกี่คนในชีวิตนี้
แต่อยู่ที่เรามีเพื่อนเหลืออยู่กี่คนในยามวิกฤติชีวิตของเราต่างหาก


สำรวจตัวเองว่าเราเป็นคนประเภทใด
เรา เป็นพวกที่ชอบพบปะพูดคุยกับผู้อื่น หรือชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
หรือไม่เคยคิดว่าจะสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นเลย เพราะไม่เห็นว่ามีความสำคัญ
โดยหากสำรวจพบว่ามีนิสัยบางประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมิตรภาพกับผู้ อื่น เราควรรีบเปลี่ยนแปลง


สานต่อมิตรภาพเดิม
การ สานต่อมิตรภาพเดิมที่เราเคยมีให้กับเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้ติดต่อกันมาเป็นเวลา นาน
โดยอาจเริ่มจากการโทรศัพท์ส่ง อีเมล์ หรือเขียนจดหมายไปหา
พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหรือพยายามพบปะสังสรรค์ในงานต่าง ๆ
อาทิ ในงานเลี้ยงรุ่น งานเลี้ยงปีใหม่ หรือในงานแต่งงานเพื่อนร่วมรุ่น เป็นต้น


ริเริ่มมิตรภาพใหม่
โดย เริ่มจากการมีอัธยาศัยไมตรีที่ดียิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยทักทายกับผู้อื่นก่อน อย่างเป็นกันเอง
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใส่ใจและจดจำรายละเอียดของผู้ที่เรารู้จักเป็นครั้งแรก
อาทิ ชื่อ ชื่อเล่น นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด ที่ทำงาน อุปนิสัย ความชอบ ฯลฯ
โดยจัดเก็บนามบัตรหรือจดบันทึกทำเป็นทะเบียนไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการสานสัมพันธ์ต่อไป


สานต่อมิตรภาพให้ยั่งยืน
การสานต่อมิตรภาพให้ยั่งยืนยาวนานได้นั้นจำเป็นต้อง……

มีการสื่อสารและใช้เวลาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่าง เช่น มีการส่งข่าวสารรายสัปดาห์ถึงกันเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทางอีเมล์ หรือทางโทรศัพท์
การเปิดเว็บไซต์ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลในกลุ่ม มี การนัดทำกิจกรรมร่วมกัน

มีการดูแลเอาใจใส่เกื้อกูลระหว่างกัน
ความ เป็นเพื่อนจะยั่งยืนยาวนานหากเรามีมิตรจิตมิตรใจที่ดีต่อกัน ห่วงใยเอื้ออาทร
และเห็นคุณค่าเพื่อนของเราเสมอ แม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

รับผิดชอบตนเองไม่ทำให้เพื่อนเดือนร้อน
ตั้งเป้าหมายว่าจะรับผิดชอบตนเองและครอบครัวเป็นอย่างดี
ควรมีความเกรงใจพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้ตนเอง เป็นภาระแก่เพื่อนหรือทำให้เพื่อนต้องลำบากใจ
ซึ่งอาจส่งผลให้มิตรภาพที่เคยมีระหว่างกันต้องล่มสลายลงในที่สุด

สานสัมพันธ์เสมอแม้มีเรื่องไม่เข้าใจกัน
ไม่ใช่พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนอย่างง่ายดาย เมื่อเพื่อนทำบางสิ่งไม่ถูกใจเรา
ซึ่งหากเพื่อนทำไม่ถูกต้อง เราควรที่จะเตือนสติกันและกันด้วยความรักไม่ใช่ ด้วยการต่อว่าที่รุนแรง
และยอมรับฟังคำแนะนำจากเพื่อนในยามที่เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยใจยินดี
และพร้อมแก้ไขในจุดที่บกพร่องนั้น

การจะสร้างมิตรภาพความเป็นเพื่อนได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้
ดังที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ "ข้อคิดเพื่อมิตรภาพ" ว่า
“สัมพันธ ภาพที่ดีเป็นเหมือนการปลูกต้นไม้ ต้นไม้จะเติบโตได้ถ้าได้รับความทะนุถนอมและสนใจดูแลเอาใจใส่
เพื่อนก็เช่นเดียวกัน เราต้องหมั่นดูแลรักษา ทะนุถนอมความสัมพันธ์ไว้เสมอไป


ที่มา kriengsak.com
ภาพจาก :http://www.123rf.com/photo_1343238.html