สารัญ Creditbank Credit card bank

123

12/10/2552

ปลดปล่อย “ความเก่ง” ในตัวลูก


ปลดปล่อย “ความเก่ง” ในตัวลูก
คาร์ล โรเจอร์ (Carl Rogers) นักจิตวิทยาการเรียนรู้ ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจในหนังสือ Freedom to Learn ว่า
มนุษย์เราถูกสร้างมาเพื่อเรียนรู้ ทุก ๆ คนมีศักยภาพในการเรียนรู้ได้ และสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาคือ
การเรียนรู้ เรื่องใดก็ตามที่สามารถสอนได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ
การถูกบังคับให้เรียนเท่ากับเป็นการนำความเจ็บปวดมาให้กับผู้เรียนมากกว่า
ทั้งนี้ วิธีการที่ถูกต้องคือ การส่งเสริมให้เขาได้ใช้ความสามารถในการเรียนรู้ที่มีอยู่ในตัวให้มากที่สุด

คนเราทุกคนที่เกิดมาได้รับสิ่งหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือ เมล็ดพันธุ์แห่งความสามารถในการเรียนรู้
มนุษย์เราได้รับการออกแบบมาให้เรียนรู้ ลองสังเกตลูก ๆ ของเรา ตั้งแต่ยังเป็นทารก
พฤติกรรมต่าง ๆ ของเขาเสมือนหนึ่งว่า เขากำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญ คือ เรียนรู้จักโลกนี้ให้มากที่สุด

แต่ความจริงที่น่าเศร้า คนจำนวนมากกลับซ่อนความสามารถในการเรียนรู้ของพวกเขาไว้
ทั้งนี้อาจเกิดจากประสบการณ์เจ็บปวด อันเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของพวกเขาในอดีต
ทำให้เขายุติความสามารถในการเรียนรู้ไปเสีย

ที่ผ่านมา ผมได้ลองสำรวจดูว่า ลักษณะของคนที่เก่ง ฉลาด ในระดับแนวหน้าของโลกจำนวนหนึ่ง
พบความจริงที่น่าสนใจว่า คนเหล่านี้ มักจะมีชุดของลักษณะนิสัยชุดหนึ่งที่เหมือน ๆ กัน
ที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เด็ก และไม่ได้หายไปตามกาลเวลา
พวกเขาสามารถรักษาและพัฒนาลักษณะนิสัย “เรียนรู้” เหมือนเช่นเด็กเล็ก ๆ ไว้ได้ อันได้แก่

อยากรู้อยากเห็น
มนุษย์เราเริ่มต้นชีวิตด้วยแรงปรารถนาจากธรรมชาติให้กระหายใคร่รู้ในสิ่งต่าง ๆ
สำหรับบางคนเมื่อเติบโตขึ้นสิ่งเหล่านี้กลับเลือนหายไป เบื่อหน่ายต่อการเรียนรู้
แต่คนเก่งจะมีความกระตือรือร้น ปรารถนาเรียนรู้ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว
สังเกตได้จากสีหน้าที่มีความตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และมักเป็นคนที่ชอบตั้งคำถาม

สังเกตสิ่งรอบตัว
เด็กเก่งที่แท้จริงจะไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งเท่านั้น แต่จะเป็นคนที่ให้ความสนใจต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว
เหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่มองว่าทุกสิ่งที่เขาพบนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่น่าเรียนรู้ไปหมด
โลกนี้มีสิ่งใหม่สำหรับพวกเขาเสมอให้เขาได้จดจ่อเรียนรู้ได้ตลอดเวลา

กล้าเผชิญสิ่งที่ท้าทาย จากความหิวกระหายใคร่รู้ในเรื่องต่าง ๆ รอบตัว
ทำให้กลายเป็นคนที่มีนิสัยไม่กลัวความยากลำบากหรือความล้มเหลว
จะไม่เลือกความสบายหรือทำสิ่งง่าย ๆ ที่ตนเองสามารถทำได้อยู่แล้วก่อน
แต่ยินดีเลือกที่จะยากลำบากถ้าทำให้ไปถึงเป้าหมาย
เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ แม้เหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม

มีแรงจูงใจจากภายใน
แรงจูงใจในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จะเกิดจากความปรารถนาภายใน มากกว่าการถูกดึงดูดด้วยการให้รางวัล
หรือการลงโทษ ดังนั้น ในการเลือกเรียน เขาจะเลือกเรียนวิชาที่เขาสนใจจริง ๆ
โดยไม่สนใจว่าวิชานั้นจะยากเพียงใด รวมทั้ง การหยิบยื่นเงื่อนไขด้านรางวัลของพ่อแม่ก็จะไม่มีผลในการจูงใจ
เท่ากับความกระหายใคร่รู้ที่เกิดขึ้นจากภายในตัวเขาเอง ไม่เพียงเท่านั้น คะแนนสอบหรือเกรดที่ได้รับ
แม้เขาจะยอมรับว่ามันสำคัญ แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความรู้สึกว่า เสียใจหรือปลาบปลื้มใจ
เพราะตระหนักในความจริงว่า คะแนนที่ได้รับนั้นไม่ใช่เหตุผลเดียวในการศึกษาเรียนรู้ของเขา
และคุณค่าในตัวเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้

จดจ่อ ศึกษา ค้นคว้า ฝึกฝน..จนรู้จริง
เมื่อต้องการเรียนรู้เรื่องใด เขาจะมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่สนใจได้เป็นเวลานาน
ความตั้งใจศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง ยิ่งในวิชาที่ยาก ต้องทำความเข้าใจและใช้ทักษะในการฝึกฝน
จนกระทั่งรู้เรื่องนั้นอย่างกระจ่างจนกระทั่งมันกลายเป็นธรรมชาติที่สอง (second nature)
และสามารถประยุกต์สิ่งที่เรียนให้กับสถานการณ์ใหม่และแตกต่างจากเดิมได้

ยินดีรับการเปลี่ยนแปลง
คนเก่งส่วนใหญ่จะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กลัวสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ในทางตรงกันข้าม กลับชอบที่จะต้อนรับมัน ชอบวิพากษ์ความคิดของตนเอง
ไม่ยึดติดกับกรอบความคิดหรือมุมมองของตนเองที่มีต่อเรื่องต่าง ๆ ไม่จำกัดด้วยกรอบเหตุผลของตนเอง
แต่ชอบที่จะรับฟังความคิดเห็นในมุมตรงกันข้าม
ชอบที่จะนำความรู้ใหม่ ๆ มาท้าทายตนเอง มิใช่เพื่อหาข้อโต้แย้ง แต่เพื่อหาคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้

มองโลกในแง่บวก และมีความคิดสร้างสรรค์
ในสิ่งที่คนอื่นอาจมองว่าโง่เขลาหรือไร้สาระ คนเหล่านี้จะมองเห็นโอกาสในการสร้างสรรค์
และสามารถที่จะรวบรวมเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากขอบเขตความรู้ที่กว้างขวางของวิชาต่าง ๆ
และนำมาประกอบเชื่อมโยงกันเข้าในวิธีการใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ออกมา
ที่สำคัญ มักจะเป็นคนที่ความสุขกับชีวิต ยอมรับตนเอง ยอมรับคนรอบข้าง
และสิ่งท้าทายต่าง ๆ ที่เผชิญหน้าเข้ามาในชีวิต

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผมตระหนักเสมอว่า ลักษณะนิสัยของนักเรียนรู้จะต้องมีอยู่ในตัวเราทุกคน
แม้เวลาจะผ่านไปพ้นวัยเด็กไปแล้วก็ตาม เพราะสิ่งนี้จะเป็นเครื่องยืนยันว่า เมื่อลูก ๆ ของเราเติบโตขึ้น
พร้อม ๆ กับนิสัยของนักเรียนรู้ เขาจะสามารถเป็น “เด็กเก่ง” ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม


ที่มา สื่อกลาง

ความสำเร็จใกล้แค่เอื้อม

ความสำเร็จใกล้แค่เอื้อม
ในโลกของเรานี้ ต่างก็มีทั้งคนพบกับความสำเร็จและพบกับความพ่ายแพ้ ล้มเหลว

บาง คนมีความสุข กับชีวิตเสมอ แต่บางคนกลับไม่เคยมีความสุขกับชีวิตเลยแม้แต่น้อย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
นั่นก็อาจเป็นเพราะวิถี ชีวิตของคนเราเปรียบเสมือนทางเดินที่แสนไกล จึงไม่อาจราบรื่นตลอดทาง
ขึ้นอยู่กับว่ายามพบอุปสรรค ขวากหนามแล้วเราจะแก้ปัญหาด้วยท่าทีชนิดไหน
ถ้าหากเสริมจิตใจให้เข้มแข็ง ทรหดอดทนไม่กลัวความลำบาก กล้าที่จะพิชิดอุปสรรคขวากหนามทั้งปวง
เราก็จะเป็นผู้ชนะ อนาคตจะมีแต่ความรุ่งเรือง แจ่มใส แต่ถ้าเราอ่อนแอ ยอมก้มหัวให้แก่อุปสรรคขวากหนาม
เราก็จะเป็นผู้แพ้ ต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทมตลอดไป

ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องปฏิบัติตามเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ ดังนี้

1. มีความหวัง
ถ้าคนเราไม่มีความหวังก็คงจะเฉาตาย เปรียบดังปลาที่แยกออกจากน้ำ ซึ่งต้องแห้งตาย แน่ ๆ
ทว่าคนเราแตกต่างจากปลาตรงที่ปลามีน้ำพอแล้ว แต่ความหวังของคนเรานั้นไร้ขอบเขต
มันขยายตัวใหญ่ ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าอยากเห็นความหวังปรากฏเป็นจริง เราก็ต้องเติมพลังให้ตัวเองเสียก่อน

2. มีอุดมการณ์
คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง และความหวังอันนี้ก็ควรจะเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่
ความหวังที่ยิ่งใหญ่อันนี้แหละคือ อุดมการณ์
ถ้าอยากประสบความสำเร็จเราก็จะต้องก้าวหน้าไปทีละขั้น ๆ ตาม อุดมการณ์ที่ตั้งไว้

3. มีความเชื่อมั่น
เมื่อมีความหวัง มีอุดมการณ์แล้วก็ต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง
เชื่อมั่นว่าเราสามารถ บรรลุภาระหน้าที่ได้อย่างราบรื่นแน่นอน
เชื่อมั่นว่าราสามารถเอาชนะความยากลำบากและอุปสรรคทั้งปวงได้
ถ้าหากแม้แต่ตัวเราเองก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วจะให้ผู้อื่นเชื่อเราได้อย่างไร

4. ต้องมีความเพียรพยายาม
ความเพียรพยายามเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการชี้ขาดว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
ถ้าเรามีความหวัง มีอุดมการณ์ มีความเชื่อมั่นแต่ขาดความเพียรพยายามทุกอย่างก็ล้มครืนลงได้

5. มีเป้าหมาย
ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามแต่เราจะต้องมีเป้าหมาย
ถ้าไม่มีเป้าหมาย ก็จะสะเปะสะปะเหมือนตาบอดคลำทางไปไม่ถึงฝั่งสักที
เป้าหมายของเราจะต้องถูกต้อง ยืนหยัดต่อสู้ รุ่งโรจน์ก้าวหน้า
เมื่อมีเป้าหมาย เช่นนี้ ย่อมประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน


เกิดเป็นคน ชีวิตมิได้มีค่าเพียงแค่กิน นอน ถ่าย สืบพันธ์เท่านั้น
ถ้า หากมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่สร้าง สรรค์ ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าต่อสู้
เราก็จะเป็นทาสของชีวิต

คนที่เป็นนายของชีวิตคือ คนที่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่กลัวความยากลำบาก ไ
ม่ท้อแท้หดหู่ไม่สิ้นหวัง ไม่เกียจคร้าน เราควรจะ มีโครงการสำหรับอนาคตของตนเอง
ถ้าหากปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรมใช้ชีวิตผ่านพ้นไปวัน ๆ อย่างไร้ จุดหมาย
ชีวิตของเราก็จะมอดม้วยไปโดยไม่แตกต่างอะไรจากต้นไม้ใบหญ้า

เราควรจะสร้างอนาคตของตนเองให้ สดใสรุ่งโรจน์เพื่อความสำเร็จ เพื่ออนาคตของเรา
เราจึงต้องขยันขันแข็ง ต้องทรหดอดทน ต้องพึ่งตนเอง อย่าหวังพึ่งคนอื่นมากนัก
เพราะในโลกนี้ไม่มีใครที่จะยอมช่วยเหลือเราตลอดเวลา การหวังพึ่งคนอื่นจึงเหมือนกับการยืมจมูกคนอื่นหายใจ
จะสะดวกปลอดภัยมั่นคง มีศักดิ์ศรีเท่ากับหายใจด้วยรูจมูกของเราได้
หรือจำไว้ว่า อนาคตกุมอยู่ในกำมือของเราเองมิใช่ฟ้าลิขิต

โดย รุ้งมณี แสวงผล
กรมสุขภาพจิต

เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

ในความเป็นจริงแล้ว คนเรายังมีศักยภาพซ่อนอยู่ในตัวเองอีกมากมาย เพียงแต่เรายังไม่เคยคิดที่จะค้นหา
บางคนคิดจะค้นหาแต่ยังไม่รู้ว่าจะค้นหาได้อย่างไร บางคนเคยลองค้นหาแล้วเจอบ้างไม่เจอบ้าง
และขาดการค้นหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะขาดความอดทน ทำอะไรมักจะทำแบบชั่วครั้งชั่วคราว
นิยมอะไรก็นิยม เป็นพักๆ เป็นแฟชั่น เราจะเห็นว่าถ้ามีทฤษฎีหรือหลักการอะไรที่เข้ามาใหม่ๆในเมืองไทย
มักจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่มักจะเป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น แล้วคนไทยก็ค่อยๆลืมของเก่า
โดยที่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี แต่พอของใหม่ เข้ามาก็หันไปให้ความสนใจกับสิ่งใหม่ๆ แทน

ผมเชื่อว่าถ้าจะพูดถึงองค์ความรู้ที่มีอยู่ในหัวสมองของคนทำงานในบ้านเรา มีไม่น้อยกว่าชาติอื่นอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่เราอาจจะด้อยกว่าเขาก็คือ เรายังขาดการพัฒนาและริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆด้วยตัวเราเอง
เราชอบจำวิธีการของคนอื่นมาประยุกต์ใช้มากกว่าคิดและพัฒนาขึ้นมาเอง
จะเห็นได้จากเทปผีซีดีเถื่อนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดอันนี้แสดงให้เห็นว่า
นอกจากเราจะไม่เคารพในศักยภาพของตัวเองแล้ว เรายังชอบทำมาหากินบนความคิดของคนอื่นอีกด้วย
สิ่งนี้คงจะมัวไปนั่งโทษใครไม่ได้เพราะระบบการเรียนการสอนในอดีต มักจะสอนให้เราท่องจำมากกว่าการคิด
และแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าคนทำงานในบ้านเราไม่เก่งนะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า
ถ้าเราได้เปิดโอกาสให้กับตัวเองเพื่อวิเคราะห์ ค้นหาและพัฒนาศักยภาพทางการคิด
โดยเฉพาะการคิดสร้างสรรค์ให้กับ ตัวเองอีกสักนิด รับรองได้ว่าศักยภาพทางการแข่งขันในเรื่องต่างๆของเรา
จะเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว สมองของเราก็เปรียบเสมือนกำลังการผลิตของเครื่องจักรในโรงงาน
ปัจจุบันเรายังผลิตไม่เต็มกำลังของเครื่องจักร หรือบางครั้งเครื่องจักรบางเครื่องเรายังไม่ได้ใช้งานมันเลย

ผมจึงขอแนะนำวิธีการในการพัฒนากำลังการผลิตของสมองให้เต็มที่ ด้วยวิธีการดังนี้

1. ฝึกคิดเชิงบวก (Positive Thinking)
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำนี้กันมามากต่อมากแล้ว แต่เราเคยนำไปใช้ในชีวิตประจำวันกันมากน้อยเพียงใด
การคิดเชิงบวก ไม่ใช่เป็นเพียงการมองโลกในแง่ดีเพียงอย่างเดียว
แต่จะต้องแสวงหาโอกาสจากบุคคล สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วย
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องฝึกคิดว่ามีอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราบ้าง เช่น
*ถ้าเราตกงานเราก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้มีเวลาพัฒนาตัวเองแบบเต็มเวลา
*ถ้าเราอกหักก็คิดเสียว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เปิดโอกาสให้กับคนดีๆอีกหลายคนเข้ามาในชีวิตของเรา
*ถ้าเราเครียดมากๆ ก็ให้คิดเสียว่าจะได้เป็นการทดสอบความแข่งแกร่งของจิตใจว่า
จะสามารถรับมือกับสภาพความเครียดได้มากน้อยเพียงใด
เพราะในอนาคตเราอาจจะ มีเรื่องที่เครียดมากกว่านี้ก็ได้

การฝึกคิดเชิงบวก นอกจากจะช่วยให้เราฝึกการแสวงหาโอกาสแล้วยังช่วยให้เราเกิดการเรียนรู้ที่เหนือกว่าคนอื่น
เพราะถ้าเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เราสามารถเรียนรู้ทั้งสิ่งที่คนทั่วไป เขารู้กันแล้วเรายังเรียนรู้ในสิ่งที่คนอื่นๆ เขา
มองข้ามไป เมื่อเราฝึกแบบนี้ไปนานๆ หลายๆครั้งเข้า จำนวนเท่าของความรู้ของเราจะเหนือกว่าคนทั่วไป
อย่างน้อยสองสามเท่าตัว

2. ฝึกคิดย้อนศร (Backward Thinking)
ใครก็ตามที่คิดไปในแนวทางเดียวกันกับที่คนทั่วๆไปคิด ความคิดเราจะไม่เกิดความแตกต่าง
แต่เมื่อไหร่ก็ตามเราคิดสวนทางกับคนอื่น อาจจะทำให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ดีๆขึ้นมาก็ได้

เราจะเห็นได้จากคนหลายคนได้ดีจากการทำธุรกิจที่ตรงกันข้ามจากคนอื่น เช่น ปกติรถเสียต้องพารถไปหาอู่
แต่เมื่อคิดใหม่คือเอาอู่ไปหารถ จึงทำให้เกิดธุรกิจบริการซ่อมรถฉุกเฉินขึ้นมามากมาย
หรือเมื่อก่อนถ้าเราจะกินพิซซ่า เราจะต้องไปที่ร้าน แต่เมื่อมีคนคิดย้อนศรคือ ให้พิซซ่าไปหาลูกค้า
ก็เลยเกิดธุรกิจ Home Delivery ขึ้นมามากมาย ปัจจุบันนี้ไม่เพียงแต่การซ่อมรถหรือการขายพิซซ่าเท่านั้น
แต่การคิดย้อนศรในลักษณะนี้ก่อให้เกิดธุรกิจอีกมากมาย ไม่ว่าการส่งดอกไม้ ร้านหนังสือ ร้านวีดีโอ เป็นต้น

การคิดย้อนศรนี้จะช่วยให้เราไม่หลงไปกับกระแสของสังคม
การฝึกคิดเช่นนี้บ่อยๆ จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวได้ดีในกรณีที่กระแสเกิดการเปลี่ยนทิศอย่างกระทันหัน
เหมือนกับการที่เราขับรถ ถ้าเราขับเป็นแต่เกียร์เดินหน้าเพียงอย่างเดียว ลองนึกดูเอาเองก็แล้วกันนะครับว่า
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราขับเข้าไปติดอยู่ในซอยตัน การพัฒนาศักยภาพทางการคิดก็เช่นเดียวกัน
ต้องเตรียมพร้อมทั้งคิดไปข้างหน้าตามกระแส แต่อย่าลืมคิด ย้อนกลับหลังบ้างเป็นระยะๆ

3. ฝึกคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ (Impossible Thinking)
จากอดีตถึงปัจจุบันเราคงเคยมีประสบการณ์ที่ว่า บางสิ่งบางอย่างที่เราเคยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ในอดีต
แต่ในปัจจุบันมันเป็นไปได้และเป็นไปแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ในวันนี้ เหตุการณ์นี้ สถานที่นี้
มันอาจจะเป็นไปได้ในอนาคต ในเหตุการณ์ หรือสภาพแวดล้อมอื่นสถานที่อื่น
ดังนั้นอะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าเพิ่งด่วนตัดทิ้งไป
เพราะนั่นเท่ากับเป็นการดับอนาคตแห่งความคิดสร้างสรรค์ของตัวเราเอง

ความคิดสร้างสรรค์แบบนี้ เราสามารถเห็นตัวอย่างได้จากภาพยนต์การ์ตูน หรือภาพยนต์บางประเภทที่เราคิดว่า
มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราอย่าลืมว่าความคิดที่เป็นไปไม่ได้เหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวจุดชนวนทางความคิดให้กับ
นักวิทยาศาสตร์นำไปค้นคว้าวิจัยเพื่อนำไปสู่ความเป็นไปได้ต่อไป ในอดีตใครเคยคิดบ้างว่าเรื่องการ Copy หรือ
การโคลนนิ่งสัตว์หรือมนุษย์จะเป็นไปได้ ใครเคยคิดบ้างว่ามนุษย์จะมีธุรกิจการท่องเที่ยวในอวกาศ
ใครจะคิดบ้างว่าคนที่อยู่กันคนละโลกสามารถพูดคุยกันแบบเห็นหน้าค่าตาได้เหมือนสมัยนี้
ถ้านำเอาความคิดในลักษณะนี้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงานจะพบว่า
เรามักจะตกหลุมพรางทางความคิดของเราเองกันอยู่บ่อยๆ พอคิดจะทำโน่นทำนี่ เราก็มักจะถูกขัดขวางด้วย
ความคิดที่ว่ามันทำไม่ได้หรอก หัวหน้าเขาคงไม่มีงบประมาณ ผู้บริหารคงไม่สนับสนุนหรอก
บริษัทนี้เขางกจะตายไป คนไม่พอหรอก ทำยากไม่มีเครื่องมือ ฯลฯ
ความคิดในลักษณะนี้เกิดขึ้นมากมายกับคนทำงาน สาเหตุที่สำคัญคือ
เรามักจะนำเอาสภาพแวดล้อมภายนอกมาทำลายต้นกล้าแห่งความคิดสร้างสรรค์ของเราเสียเอง ทำให้เราไม่มี
โอกาสได้คิดไปถึงที่สุดว่าจริงๆแล้วที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้นั้น จริงๆ แล้วมันเป็นจริงเช่นนั้นหรือไม่

มีผู้เข้าสัมมนาท่านหนึ่งเคยถามผมว่า ถ้าเรามีความคิดออกแบบอะไรสักอย่างหนึ่งแล้ว
และคิดว่ามันเป็นนวตกรรม ใหม่ แต่เราไม่มีเงินทุนที่จะทำธุรกิจ เราจะทำได้อย่างไร ผมก็ถามต่อว่าคุณคิดว่า
จำเป็นหรือไม่ที่การลงทุนจะต้องตามมาด้วยเงินทุนจากกระปุกออมสินของเราเสมอ เขาก็ตอบว่าไม่แน่
แล้วผมก็ถามต่อว่าแล้วทำอย่างไรได้บ้าง เขาก็ตอบว่ากู้เงิน ร่วมทุนกับคนอื่น ขายลิขสิทธิให้กับคนอื่น
แล้วผมจึงถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าที่คุณคิดว่า ความคิดของคุณเป็นไปไม่ได้ในการทำธุรกิจนั้น
จริงๆ แล้วมันเป็นไปได้หรือไม่ เขาก็ตอบว่าเป็นไปได้
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่จะบอกเราว่าคนเราส่วนมากมักจะด่วนสรุปว่าสิ่งที่เราคิดนั้นเป็นไปไม่ได้
หรือเป็นไปได้ยากมาก เพราะเรามักจะยึด ติดกับกรอบการคิดแบบเดิมๆ แบบที่คนทั่วๆไปเขาคิดกัน

4 . ฝึกคิดบนหลักของความเป็นจริง (Thinking Based Principle)
การฝึกคิดแบบนี้คือการคิด วิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยย้อนกลับไปหาหลักความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆว่าคืออะไร เช่น
คนที่สามารถผลิตเครื่องบินได้นั้นจะต้องเข้าใจถึงหลักความเป็นจริงในเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกก่อนจึงจะ
สามารถออกแบบเครื่องบินได้ ต้องเข้าใจว่าการบินได้นั้น จะต้องมีพลังขับเคลื่อนเท่าไหร่ มีความเร็วเท่าไหร่
จึงจะสามารถหนีออกจากแรงโน้มถ่วงของโลกได้

ถ้าเราพูดถึงการผ่าตัด เรามักจะยึดติดกับมีดเพียงอย่างเดียว แต่หลักความเป็นจริงของการผ่าหรือการตัด หมายถึง
การทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแยกออกจากกัน ถ้าเรายึดเอาวิธีการเป็นตัวตั้งเราก็จะตอบได้เพียงอย่างเดียวว่า
การผ่าตัด คือการใช้มีด แต่ถ้าเราเอาหลักความเป็นจริงเป็นตัวตั้ง วิธีการเป็นตัวตามแปร
การผ่าตัดอาจจะทำได้มากกว่าการใช้มีด เช่น การใช้ความร้อน ใช้ลวด ใช้กรรไกร ใช้ความเย็น ใช้รังสี
ใช้ความคมของกระดาษ เป็นต้น

5. ฝึกคิดข้ามกล่องความรู้ (Lateral Thinking )
การคิดข้ามกล่องความรู้คือ การนำเอาความรู้ที่เรามีอยู่ในหัวในเรื่องต่างๆ มาคิดไขว้กัน
ยิ่งเรามีกล่องความรู้หลากหลาย โอกาสที่เราจะคิดข้ามกล่องเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ ก็มีมากยิ่งขึ้น
ถ้าเรามีกล่องความรู้เพียง 2 กล่อง โอกาสที่เราจะคิดไขว้หรือข้ามกล่องก็มีเพียง 1 ชุด
แต่ถ้าเรามีกล่อง ความรู้ 3 กล่อง โอกาสที่เราจะคิดไขว้กันก็มีมากขึ้นเป็น 2 ชุด
ยิ่งมีกล่องมากเท่าไหร่ จำนวนชุดของความคิดไขว้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เป็นทวีคูณ

เราคงเคยได้ยินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ที่ผู้คิดค้นได้นำเอากล่องความรู้เกี่ยวกับการปรุงก๋วยเตี๋ยวมาผสมกับกล่อง
ความรู้ในการทำต้มยำ(น้ำข้นหรือน้ำใส) เราคงเคยได้ยินผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าแอร์มุ้งที่เป็นการผสมผสานระหว่าง
กล่อง ความรู้ด้านแอร์กับกล่องความรู้ด้านมุ้ง เราคงเคยได้ยินคนเลี้ยงปลาดุกในห้องเช่าที่เป็นการผสมผสาน
ความคิดระหว่างกล่องความรู้เรื่องห้องเช่ากับกล่องความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาในบ่อ ดิน

6. ฝึกคิดแบบแตกหน่อทางความคิด (Germination Thinking)
เป็นการคิดโดยกำหนดจุดเริ่มต้นจากสิ่งที่ เป็นอยู่หรือมีอยู่ในปัจจุบัน
แล้วแตกความคิดออกไปสู่ทิศทางต่างๆ รอบตัว ดังภาพข้างล่างนี้

การคิดสร้างสรรค์แบบนี้จะช่วยให้ง่ายต่อการจัดกระบวนการคิด เพราะเป็นการคิดพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่
แล้วเพิ่มสิ่งใหม่ๆ เข้ามาที่ละเล็กละน้อย
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นว่าเมื่อเราคิดแตกหน่อจากปากกาออกไปเป็นปากกาไม่ต้องเติมน้ำหมึกแล้ว
ก็สามารถคิดต่อไปอีกว่าปากกาที่ไม่ต้องเติมน้ำหมึกนั้น สามารถพัฒนาต่อในด้านอื่นๆอีกหรือไม่
เมื่อเราคิดพัฒนาแตกหน่อออกไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าความคิดที่หน่อสุดท้าย
อาจจะมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับจุดเริ่มต้น(ปากกา)

การคิดในลักษณะนี้จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคการคิดข้ามกล่องเข้ามาช่วยในการคิดแตกหน่อจากหน่อเดิมไปสู่
หน่อใหม่ๆ และที่สำคัญเราสามารถมองเห็นทั้งกระบวนการคิดและผลลัพธ์ทางการคิดในลักษณะของแผนผัง
ความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน

จากวิธีการฝึกเพื่อพัฒนาศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ดังกล่าว จะเห็นว่าเราสามารถพัฒนารูปแบบการคิดของเราได้
หลายวิธี เพียงแต่เราต้องให้ความสำคัญกับการคิดสร้างสรรค์อย่างจริงจัง นำเอาวิธีการดังกล่าวนี้ไปฝึกคิดกับ
เหตุการณ์ ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เราก็สามารถพัฒนาศักยภาพการคิดให้สูงขึ้นไปได้

ข้อแนะนำเพิ่มเติมที่อยากให้ท่านผู้อ่านนำไปฝึกปฏิบัติ มีดังนี้

1. วิเคราะห์หาปัจจัยเอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง
ขอให้ลองทบทวนดูว่าบรรยากาศ สถานที่ เวลาหรือสภาพแวดล้อม แบบใดที่เราน่าจะทำให้เราสามารถใช้
ความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่ บางคนบอกว่าบรรยากาศใต้ต้นไม้ชายทะเล
บางคนบอกว่าบรรยากาศบนยอดเขาตอนเช้า
แต่ก็มีบางคนเคยบอกผมว่าบรรยากาศในวงเหล้า ความคิดจะแล่นมาก
อันนี้ ก็สุดแล้วแต่ความชอบของสมองของแต่ละคนก็แล้วกันนะครับ เมื่อเราได้ทราบว่าบรรยากาศ สถานที่ หรือ
เวลาแล้ว จะเป็นประโยชน์สำหรับเราในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

บางคนบอกว่าไม่มีโอกาสคิดสร้างสรรค์ เพราะตัวเอง ไม่เคยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์เลย เช่น
เราบอกว่าเราจะสามารถคิดสร้างสรรค์ได้ถ้าอยู่เงียบๆ คนเดียวใต้ต้นไม้ แต่ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา
เราไม่เคยมีโอกาสอยู่คนเดียวเลย อย่างนี้โอกาสที่จะเกิดความคิด สร้างสรรค์คงจะเป็นไปได้ยาก


2. จัดสรรเวลา เพื่อฝึกความคิดสร้างสรรค์
ขอให้จัดสรรเวลาในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน เพื่อฝึกการคิดสร้างสรรค์บ้าง
อย่างน้อยวันละ 5-10 นาทีก็ยังดี
ศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ถือเป็นทักษะที่ต้องการการฝึกฝน เหมือนกับทักษะในด้านอื่นๆ เช่น
เราต้องการเป็นนักฟุตบอลที่เก่ง แต่เราไม่เคยฝึกเตะฟุตบอลเลย อย่างนี้ก็คงจะยาก
เช่นเดียวกันกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่เราต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ


3. บันทึกผลงานการคิดสร้างสรรค์
เราไม่สามารถฝึกให้มีความคิดสร้างสรรค์เพียงชั่วข้ามคืนเดียว
เราไม่สามารถบอกได้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นเลิศ
แต่ระยะเวลาที่ผ่านไปพร้อมๆกับการฝึกฝนเท่านั้น จะบ่งบอกเราได้ว่า
เรามีการพัฒนาระดับความคิดสร้างสรรค์ไปถึงไหน และสิ่งสำคัญที่จะบอกเราได้นั่นก็คือ
บันทึกผลแห่งการคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เราน่าจะบันทึกว่าเมื่อวันที่เท่าไหร่
เราคิดสร้างสรรค์เรื่องอะไร เรื่องนั้นๆเกิดขึ้นได้ อย่างไร วิธีการคิดเป็นอย่างไร
เพราะบันทึกนี้นอกจากจะแสดงให้เราเห็นถึงผลงานการคิดสร้างสรรค์แล้ว
ยังบ่งบอก ถึงพัฒนาการทางการคิดได้อีกด้วย เราสามารถนำเอาผลงานการคิดสร้างสรรค์เมื่อสองปีที่แล้วมา
เปรียบเทียบกับ ผลงานในปีนี้ก็ได้ ดังนั้น การพัฒนาศักยภาพการคิดสร้างสรรค์ของคนเราจึงไม่ใช่เรื่องยาก
แต่สำคัญอยู่ที่ว่าใครได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากน้อยเพียงใด คนทุกคนสามารถพัฒนาได้
แต่อาจจะมีคนเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จ

การพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะที่สามารถนำพาเราไปสู่การมีชีวิตแบบ "มูลค่าเพิ่ม" ได้
เพราะผลพวง แห่งการคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างงาน สร้างชีวิตให้กับคนมาแล้วมากมาย
เราจะเห็นได้จากการเกิดธุรกิจแปลก สินค้าใหม่ๆ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอยู่เสมอๆ

ผมมีความเชื่อมั่นว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากพรแสวง
นั่นก็คือตั้งใจ เชื่อมั่น หมั่นฝึกฝนและทดสอบตนเองอยู่เสมอ
สิ่งนี้แหละที่จะนำพาเราออก ขึ้นมาจากหุบเหวทางความคิดแบบสั้นๆ
ขึ้นไปสู่ยอดเขาแห่งความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

อ้างอิง : peoplevalue.co.th

6 วิธีง่ายๆ เพิ่ม IQ

6 วิธีง่ายๆ เพิ่ม IQ

1. ช็อกโกแลตช่วยได้
ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ แล้วคุณอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วเดิมมาเป็นช็อกโกแลตหอมกรุ่น
จะช่วยให้สมองมีพลังวังชาขบคิดปัญหาเครียสๆ แบบผู้ใหญ่ได้ดีทีเดียว

นักวิจัยมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมพบว่า สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลต
ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองใด้นานถึง 3 ชั่วโมง

นพ. เอียน แมคโดนัลด์ หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่า
ข้อดีของช็อกโกแลตคือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองในช่วงที่การรับรู้ของคนเราจะแย่ลง เช่น
ในขณะที่เหนื่อยล้าหรือนอนน้อย ยิ่งถ้าเป็นดาร์คช็อกโกแลตก็จะยิ่งมีฟลาโวนอยด์เข้มข้นขึ้น
ลองซดช็อกโกแลตอุ่นๆ สักแก้วก่อนเข้าประชุม 10 โมงเช้ารับรองว่าสมองคุณจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเลยเชียวล่ะ

2. ดนตรีกล่อมสมอง
"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดาลเป็นคนชอบกลนัก" ก็ขนาดคนใช้สมองเยอะๆ อย่างอาจารย์มหาวิทยาลัย
หรือนักศึกษาปริญญาเอกยังนิยมฟังเพลงกันเลย ปัญญาชนเหล่านี้บอกว่าฟังเพลงคลาสสิกของบีโทเฟนแล้ว
ทำให้สมองผ่อนคลายได้ ทว่าผลการศึกษาครั้งใหม่กลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิกอย่างโมสาร์ตหรือ
เฮฟวีเมทัลกระแทกหูอย่างวงสอ เตอร์เฮดก็เพิ่มพลังให้สมองได้ทั้งนั้น

สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์กหรือ NYAS (New York Academy of Sciences) พบว่า
การฟังดนตรีสุดโปรดไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้

ขณะที่วารสาร Nature รายงานว่า ถ้าให้ผู้เข้าทดสอบฟังเพลง 10 นาทีก่อนทำแบบทดสอบ
พวกเขาจะทำคะแนนได้ดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าดนครีมีส่วนอย่างมากต่อการเพิ่มระดับไอคิว
ทีนี้คุณก็มีข้ออ้างในการควักกระเป๋าลงทุนกับเครื่องเสียงแจ่มๆ ที่ไพเราะเสนาะหูแล้วสิ

3. นั่งให้ปลอดโปร่ง
คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม ยิ่งนั่งจมปลักอยู่บนเก้าอี้ทำงานนานๆ สมองยิ่งตีบตันคิดอะไรไม่ค่อยออก
เคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยให้สมองโปร่งโล่งสบาย คือการนั่งเก้าอี้แสนสบาย

ผลการศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า เก้าอี้นั่งที่ไม่ค่อยสบา ยอาจทำให้ความคิดของคุณโดนปิดกั้นไปด้วย
ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยลันด์ในสวีเดนระบุว่า คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
ซึ่งเป็นผลจากการนั่งผิดท่า การบีบอัดกระดูกสันหลังด้วยการนั่งหลังค่อมขณะใช้แป่นคีย์บอร์ด
จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหดตัว ผลคือสมองคุณจะขาดออกซิเจน

ดังนั้นการเลือกเก้าอี้ทำงานดีๆ สักตัวที่ช่วยให้คุณนั่งยืดหลังตรงได้ขณะทำงาน
จึงสำคัญพอๆ กับงานบนหน้าจอของคุณเลยก็ว่าได้

4. พลังจากเนื้อ
ไม่ ว่าคุณจะเป็นมนุษย์ถ้ำ หรือมนุษย์ทำงานจอมแกร่ง กองทัพต้องเดินด้วยท้องอยู่วันยังค่ำ
คุณย่อมไม่มีเรี่ยวแรงพอในใส่เกียร์ห้าหนีเสือป่าที่จ้องจะขย้ำคอ
หรือเคาะตัวเลขในรายงานการขายให้สวยหรูได้แน่ ถ้าท้องคุณร้องโครกครากดังเซ็งแซ่แบบนี้

การหม่ำเบอร์เกอร์ดีๆ เติมกระเพาะและพลังงานให้สมอง ย่อมช่วยได้

ซี โมน พาร์กินสัน นักโภชนาการ แนะนำว่า "เนื้อลูกแกะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและวิตามินบี 12
ซึ่งดีต่อการฟื้นฟูสมองที่อ่อนล้าให้กลับมากระปรี้กระเปร่า และถ้าได้แซมไข่แดงลงไปในเบอร์เกอร์
คุณจะได้โคลีนไปเสริมสร้างการรับรู้ของสมอง
ส่วนผักต่างๆ จะช่วยป้องกัยการเกิดภาวะเครียดจากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป"

5. กินหนึ่งได้ถึงสอง
บางคนที่ไปยิมนอกจากจะเวิร์กเอาต์ให้ได้รูปร่างสมส่วน ยังอาจกินอาหารเสริมควบคู่กันไปเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ
สำหรับใครที่เลือกอาหารเสริมเป็นครีเอทีน ขอบอกว่าคุณตาแหลมมาก เพราะผลการศึดษาครั้งใหม่พบว่า
ครี เอทีนไม่ใช่แค่ดีกับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อสมองของคุณ
เพราะทั้งช่วยเสริมสร้างสมาธิและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและตัวเลขต่างๆ

พญ.แคโรไลน์ เร จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ บอกว่า "อาหารเสริมชนิดนี้เพิ่มพลัง ให้สมอง
สามารถรับมือกับงานด้านการคำนวณ ตลอดจนกระบวนการคิดต่างๆ ให้ดีขึ้น"
อาหารเสริมในรูปแคปซูลจะมีปริมาณครีเอทีนต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าแหล่งอื่นๆ
ดังนั้นพกแคปซูลครีเอทีนติดตัวไปกินตอนเวิร์กเอาต์ช่วงเที่ยงก็เข้าท่าดี
เพราะนอกจากจะทำให้สมองปราดเปรื่องแล้ว ยังทำให้กล้ามคมโตสมใจอีกต่างหาก
(แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

6. หลับฟื้นความจำ
นี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบนอน เพราะการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำให้คุณฉลาดขึ้น
ผลการศึกษาร่วมระหว่างคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พบว่า
การ นอนหลับพักผ่อนช่วยกระตุ้นให้คุณดึงความทรงจำในเรื่องที่พึ่งเรียนรู้ไปไม่นานกลับคืนมาได้
แม้ว่าความทรงจำนั้นจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ไปแล้วหลายชั่วโมงก็ตาม

นพ.เจฟฟรีย์ เอลเลนโบเกน หัวหน้สทีมวิจัย บอกว่า
"นี่แสดงให้เห็นว่า การนอนหลับพักผ่อน ไม่เพียงช่วยปกป้องความจำ
แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบรวมความทรงจำเข้าด้วยกันอีกด้วยครับ"
พูดง่ายๆ คือ ความทรงจำในสมองไม่แตกแถวนั่นเอง

นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หมอนก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน
เพราะหมอนที่รองรับสรีระร่างกายในขณะที่หลับได้ดี
จะช่วยลดปัญหาการหายใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหลับที่ต่อเนื่องยาวนาน

เรื่อง : Men's Health
ที่มา M cot.net

ปลูกต้นไม้แห่งมิตรภาพ


ปลูกต้นไม้แห่งมิตรภาพ
เพื่อนคือบุคคลที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่เราพึงมีในชีวิตนี้ ดังที่ ราฟท์ วาลโด อีเมอร์สัน ได้กล่าวไว้ว่า

“เพื่อนถือได้ว่าเป็นงานชิ้นเอกของธรรมชาติ”
(A friend may well be reckoned the masterpiece of nature. : Raph Waldo Emerson 1803-1882)

เพื่อน คือ บุคคลที่เรารักใคร่ชอบพอ มีความเข้าใจกัน เป็นผู้ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนทัศนคติ
ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อนนับเป็นบุคคลสำคัญยิ่งตั้งแต่วัยเด็ก
แต่น่าเสียดายที่เพื่อนกลับเป็นบุคคล ที่เราให้ความสำคัญลดลงไปเรื่อย ๆ ตามวัยที่เปลี่ยนไป

โดย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวสู่วัยทำงาน
หนุ่มสาวจำนวนมากเริ่มแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน และไปใช้เวลากับการทำงาน
ใช้เวลากับคนรัก ครอบครัวเป็นหลัก เพื่อนจึงมีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อย ๆ ตามวัยโดยที่เราไม่รู้ตัว

ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมิตรภาพระหว่างเพื่อนเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีเพื่อนแท้ ที่สามารถสื่อสารระบายความในใจหรือเป็น กำลังใจให้แก่กันได้
เราจึงควรเห็นคุณค่าของการมีเพื่อน และเห็นคุณค่าของการรักษามิตรภาพความเป็น เพื่อนไว้ให้มั่นคง
โดย ขั้นตอนในการสานสัมพันธภาพนั้นเริ่มต้นจาก

สำรวจสถานะเพื่อนรอบข้าง
ถามตัวเองว่าในเวลานี้
ใครเป็นเพื่อนที่เราสนิทสนมที่สุด?
มี จำนวนกี่คน?
เรามีโอกาสใช้เวลาด้วยกันมากน้อยเพียงใด?
ลองเขียนรายชื่อเพื่อนทั้งหมดลงบนกระดาษ เรียงลำดับตามความเหมาะสม
รวมทั้งรายชื่อเพื่อนเก่าในอดีตที่เราไม่ได้ติดต่อมาเป็นเวลานาน

โดยตระหนัก ว่าความสำคัญของการมีเพื่อน ไม่ได้อยู่ที่เรามีเพื่อนมาแล้วกี่คนในชีวิตนี้
แต่อยู่ที่เรามีเพื่อนเหลืออยู่กี่คนในยามวิกฤติชีวิตของเราต่างหาก


สำรวจตัวเองว่าเราเป็นคนประเภทใด
เรา เป็นพวกที่ชอบพบปะพูดคุยกับผู้อื่น หรือชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
หรือไม่เคยคิดว่าจะสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นเลย เพราะไม่เห็นว่ามีความสำคัญ
โดยหากสำรวจพบว่ามีนิสัยบางประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมิตรภาพกับผู้ อื่น เราควรรีบเปลี่ยนแปลง


สานต่อมิตรภาพเดิม
การ สานต่อมิตรภาพเดิมที่เราเคยมีให้กับเพื่อนเก่า ที่ไม่ได้ติดต่อกันมาเป็นเวลา นาน
โดยอาจเริ่มจากการโทรศัพท์ส่ง อีเมล์ หรือเขียนจดหมายไปหา
พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหรือพยายามพบปะสังสรรค์ในงานต่าง ๆ
อาทิ ในงานเลี้ยงรุ่น งานเลี้ยงปีใหม่ หรือในงานแต่งงานเพื่อนร่วมรุ่น เป็นต้น


ริเริ่มมิตรภาพใหม่
โดย เริ่มจากการมีอัธยาศัยไมตรีที่ดียิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยทักทายกับผู้อื่นก่อน อย่างเป็นกันเอง
มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใส่ใจและจดจำรายละเอียดของผู้ที่เรารู้จักเป็นครั้งแรก
อาทิ ชื่อ ชื่อเล่น นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ วันเกิด ที่ทำงาน อุปนิสัย ความชอบ ฯลฯ
โดยจัดเก็บนามบัตรหรือจดบันทึกทำเป็นทะเบียนไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อประโยชน์ในการสานสัมพันธ์ต่อไป


สานต่อมิตรภาพให้ยั่งยืน
การสานต่อมิตรภาพให้ยั่งยืนยาวนานได้นั้นจำเป็นต้อง……

มีการสื่อสารและใช้เวลาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่าง เช่น มีการส่งข่าวสารรายสัปดาห์ถึงกันเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทางอีเมล์ หรือทางโทรศัพท์
การเปิดเว็บไซต์ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลในกลุ่ม มี การนัดทำกิจกรรมร่วมกัน

มีการดูแลเอาใจใส่เกื้อกูลระหว่างกัน
ความ เป็นเพื่อนจะยั่งยืนยาวนานหากเรามีมิตรจิตมิตรใจที่ดีต่อกัน ห่วงใยเอื้ออาทร
และเห็นคุณค่าเพื่อนของเราเสมอ แม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ

รับผิดชอบตนเองไม่ทำให้เพื่อนเดือนร้อน
ตั้งเป้าหมายว่าจะรับผิดชอบตนเองและครอบครัวเป็นอย่างดี
ควรมีความเกรงใจพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้ตนเอง เป็นภาระแก่เพื่อนหรือทำให้เพื่อนต้องลำบากใจ
ซึ่งอาจส่งผลให้มิตรภาพที่เคยมีระหว่างกันต้องล่มสลายลงในที่สุด

สานสัมพันธ์เสมอแม้มีเรื่องไม่เข้าใจกัน
ไม่ใช่พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนอย่างง่ายดาย เมื่อเพื่อนทำบางสิ่งไม่ถูกใจเรา
ซึ่งหากเพื่อนทำไม่ถูกต้อง เราควรที่จะเตือนสติกันและกันด้วยความรักไม่ใช่ ด้วยการต่อว่าที่รุนแรง
และยอมรับฟังคำแนะนำจากเพื่อนในยามที่เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยใจยินดี
และพร้อมแก้ไขในจุดที่บกพร่องนั้น

การจะสร้างมิตรภาพความเป็นเพื่อนได้อย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้
ดังที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ "ข้อคิดเพื่อมิตรภาพ" ว่า
“สัมพันธ ภาพที่ดีเป็นเหมือนการปลูกต้นไม้ ต้นไม้จะเติบโตได้ถ้าได้รับความทะนุถนอมและสนใจดูแลเอาใจใส่
เพื่อนก็เช่นเดียวกัน เราต้องหมั่นดูแลรักษา ทะนุถนอมความสัมพันธ์ไว้เสมอไป


ที่มา kriengsak.com
ภาพจาก :http://www.123rf.com/photo_1343238.html

11/30/2552

ทำไมงานไม่ได้ตามเป้า


ทำไมงานไม่ได้ตามเป้า
ยิ่งเศรษฐกิจงวดขึ้นมาเรื่อยๆ คนยิ่งเครียดกันง่ายขึ้น
KPI บางตัวที่เดิมอาจจะถึงเป้าก็ได้ไม่ถึงก็ได้ เริ่มต้อง ถึงให้ได้มากขึ้น
เพราะจุดต่างของยอดขายหรือต้นทุนเพียงเล็กน้อย อาจหมายถึงความอยู่รอดขององค์กร
การทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด จึงเป็นความจำเป็นพื้นฐาน

"ทำไมงานไม่ได้ตามเป้า" อาจเป็นคำถามที่ คนถามก็เบื่อที่จะถาม คนตอบก็ไม่อยากตอบ
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องมานั่งประเมินผลกัน ช่วงเวลานั้นเหมือนถูกจับใส่ห้องเย็นกันทั้งคู่
เครียดกลับบ้านกันเป็นแถวทั้งผู้ถูกประเมินและ ผู้ประเมิน
จนบางคนเปรยว่า จะดีไม่น้อยถ้าเราทำงานกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องมาประเมินผลลัพธ์กัน
ก็พูดขำๆ กันคลายเครียดในสถานการณ์ที่ ไม่เป็นจริง

ถ้าเรารับรู้ข้อมูลการดำเนินการมาตลอดระยะเวลาการทำงาน
เราก็คงจะช่วยกันแก้ไขให้เข้าลู่ทางมากที่สุดใช่หรือไม่
จะถึงเป้าหรือไม่ถึงเป้า ก็รับรู้ร่วมกันทั้งหัวหน้าลูกน้องอยู่แล้วใช่หรือไม่
ไม่ใช่หัวหน้ามานั่งตกใจนั่งเครียดกับผลที่เกิดขึ้นสุดท้าย

บางองค์กรจึงใช้ management cockpit หรือมีข้อมูลโชว์ให้เห็นตลอดเวลาในห้องทำงานเลย
ข้อมูลไหนเป็นอย่างไร อะไรที่คะแนนตกลงไปจะขึ้นสีเหลืองสีแดงเตือน
บางองค์กรไม่ต้องลงทุนขนาดนั้นก็อาจให้มีการรายงานเป็นระยะๆ ราย ไตรมาสบ้าง รายเดือนบ้าง รายวันบ้าง
ซึ่งแนวนี้เราเรียก monitoring คือมีการรายงานขึ้นมาเป็นระยะๆ จากผู้ใต้บังคับบัญชา

ถึงกระนั้นก็ยังมีเทคนิคอื่นๆ ที่จะทำให้เราสามารถควบคุมการทำงานให้บรรลุเป้าหมายได้
ก่อนจะถึงการประเมินผลในตอนสุดท้าย นั่นคือ การติดตามงาน (following-up)
เทคนิคชื่อเดิม ที่เราคุ้นเคยแต่ขาดไม่ได้สำหรับการเป็นผู้บริหาร

ถึงกระนั้นผู้เขียนก็ยังพบผู้บริหารจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ได้ติดตามงานมากพอ
อาจด้วยสาเหตุว่าเวลาไม่มีบ้าง ลืมบ้างเพราะงานยุ่ง สุดท้ายก็คือผลงานออกมาไม่ได้ตามเป้าหมาย

ในทางกลับกันถ้าได้รับข้อมูลความคืบหน้าไม่ว่าจาก monitoring หรือ following-up
ก็จะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ปรับกลยุทธ์หรือแม้แต่ระบบให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ได้

วิธีการติดตามงานโดยทั่วไปก็คือ
การเดินเข้าไปคุยกับลูกน้อง โทรศัพท์ หรืออีเมล์ถามความคืบหน้าของงานจากลูกน้องโดยตรง
ซึ่งบางครั้งการติดต่อกับลูกน้องนี้ทำให้ลูกน้องรู้สึกอึดอัด ไม่พอใจ หาว่ามาจับผิดก็มี
หรือไม่ก็ต่อว่ากลับว่าเดี๋ยวเสร็จแล้วไปรายงานเอง
เนื่องจากหัวหน้าเดินเข้าไปถามด้วยสีหน้าตึงเครียด และน้ำเสียงเข้มว่า "เสร็จหรือยัง"
ยิ่งถ้าเท้าสะเอวยืนค้ำหัวด้วยแล้ว ยิ่งดูวางอำนาจจี้ทวงงานได้ชัดเจนมากขึ้น
วิธีนี้...การติดตามงานกลายเป็นการไปทำร้ายขวัญกำลังใจลูกน้อง เสียอารมณ์กันเปล่าๆ
ถ้าติดตามแบบนี้ไม่ติดตามดีกว่า

วิธีการติดตามงานที่ละเอียดอ่อนขึ้น คำนึงถึงจิตใจของผู้ถูกติดตามมากขึ้น
จะช่วยให้ได้รับรู้ความคืบหน้าของงาน ไปพร้อมกับสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้องได้
ในบางจังหวะเมื่อเราติดตามงานแล้วพบว่าลูกน้องทำได้ดี เราก็สามารถใช้จังหวะนี้ "ชม" หรือให้กำลังใจได้ทันที
เป็นการจูงใจลูกน้องไปในตัว แต่ในขณะที่เรา พบว่าลูกน้องติดขัดในการทำงาน เราก็สามารถช่วยสนับสนุน
ส่งเสริมเพิ่มได้ เรียกว่า management by support หรือการบริหารด้วยการสนับสนุนค้ำจุน

เราสามารถสนับสนุนได้ทั้งคนที่ไม่พอ เงินถ้าเขาต้องใช้เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ
หรือแม้แต่ความรู้ที่เขาไม่มี เราอาจจะสอนงานเพิ่มเติมให้หรือส่งเขาไปเรียนรู้ที่อื่น
เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้เขาดำเนินงาน ได้บรรลุเป้าหมายมากขึ้น

บางครั้งที่ผู้บริหารเพียงสั่งงานไป แล้วไม่ได้ติดตามงาน ปล่อยให้ลูกน้องงงหรือต่อสู้ด้วยตัวเอง ทำสำเร็จก็ดีไป
บางครั้งเขาก็หาทรัพยากรต่างๆ เองไม่ได้ ติดข้อจำกัดต่างๆ งานเลยพลอยเสียไปไม่ได้ตามเป้า

บางท่านอาจถาม "แล้วทำไมไม่มาบอกเราล่ะ ถ้าติดขัดอะไร"
แหมคุณขา ถ้าเขามาบอกเราถือว่าเราได้ลูกน้องเก่งไป รู้จักมาแจ้งหัวหน้าเมื่อเวลาควรต้องแจ้ง
แต่บังเอิญว่าลูกน้องหลายคน ไม่กล้าจะบอกหัวหน้าเมื่อติดปัญหาอะไร ด้วยหลายสาเหตุ เช่น
อยากลองแก้ปัญหาดูเองก่อน ทำให้เต็มที่ก่อนไม่ได้จริงๆค่อยแจ้งหัวหน้า
(แต่กลายเป็นว่าจังหวะเวลาที่รอนั้นอาจนาน เกินไป ทำให้ไม่ทันการณ์แล้ว)
หัวหน้ายุ่งไม่อยากรบกวน (เลยปล่อยให้เรื่องล่วงเลยไปจนเกิดปัญหา)
ไม่กล้าคุยกับหัวหน้าตรง เพราะบอก ทีไรก็โดนดุกลับมาทุกที หรือไม่หัวหน้าก็ไม่ช่วยตัดสินใจอะไร ฯลฯ
เราจึงควรมีการติดตามงานเองจากฝั่งของผู้บริหารเองด้วย
ไม่เพียงรอการรายงานจากลูกน้องแต่อย่างเดียว หรือรอผลสุดท้ายตอนประเมิน

บางคนบอกว่าไม่ได้ตามงานก็เพราะลืมบ้าง ยุ่งบ้าง หัวหน้าไฮเทคหลายคนก็ใช้โปรแกรม Microsoft Outlook
หรือ Lotus Note ที่อยู่ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่อยู่แล้ว วิธีการติดตามงานก็ง่ายมาก
เริ่มตั้งแต่ตอนกระจายงานออกไป สั่งงานโดยลงในฟังก์ชัน Task หรืองานของเรา (New task)
แล้วส่งมอบหมายงานออกไปให้ลูกน้องโดยผ่านอีเมล์ (Assign task)
งานที่เราส่งออกไปก็จะไปเข้ากล่อง inbox ของลูกน้องที่ใช้โปรแกรมนี้เหมือนกัน
เมื่อเขาคลิกรับงาน (accept) งานที่เราส่งไปก็จะไปขึ้นอยู่ในกล่องงานของเขาอัตโนมัติ
เราจะแนบไฟล์งานที่เกี่ยวข้องไปด้วยก็ได้ ใส่วันที่ต้องส่งด้วยก็ได้
เราก็จะมีรายการงานที่มอบหมายไปให้ลูกน้องแต่ละคนทั้งหมด ที่เครื่องเราด้วย เวลาเราจะติดตามงานก็จะง่ายขึ้น
ป้องกันการลืมว่าสั่งงานอะไรใครไป ต้องส่งเมื่อไหร่ ใครไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นไรนะคะ จดลงในกระดาษก็ได้ค่ะ

แต่ที่สำคัญไม่ว่าจะใช้วิธีใด อย่าลืมนะคะว่าลูกน้องของเรานั้นเป็นคน..มีความรู้สึกนึกคิด
ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารที่เป็นการทำตัวเหนือผู้อื่นก็ดี วางอำนาจก็ดี
มีผลทำให้เกิดความขุ่นมัวไม่พอใจกันได้ง่ายๆ
แม้แต่การส่งอีเมล์กัน ภาษาที่ใช้อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้
เพราะมองไม่เห็นหน้ากัน ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไรกัน
แต่ บางเรื่องถ้าละเอียดอ่อน ควรพบกันอธิบายงานกันจนเข้าใจซักถามกันถ่องแท้ก่อนแล้วจึงส่งงานทาง Task
หรือ อีเมล์ตามเป็นบันทึก มิเช่นนั้นอาจเข้าใจผิด พาลให้งานหยุดนิ่งได้เหมือนกัน

เรามาลองติดตามงานกันให้มากขึ้น
รับฟังปัญหาหรืออุปสรรคที่ลูกน้อง อาจพบระหว่างงานและร่วมแก้ไขไปด้วยกัน
น่าจะช่วยลดคำถาม ไม่พึงประสงค์ของเราลงไปได้..ทำไมงานไม่ได้ตามเป้า


โดย ดร.มิชิตา จำปาเทศ รอดสุทธิ
ประชาชาติธุรกิจ
ที่มา http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2007q3/2007august30p8.htm
ภาพจาก http://abcnews.go.com/Business/Economy/

บันได 9 ขั้น พิชิตชีวิตแห่งงาน


บันได 9 ขั้น พิชิตชีวิตแห่งงาน
ในยุคสมัยนี้ การหางานทำ หรือการเปลี่ยนงาน เป็นสิ่งที่ทำได้ลำบาก เพราะขณะที่เศรษฐกิจยังไม่พื้นตัวนั้น
ผู้ที่มีงานทำอยู่แล้ว ก็ต้องการย้ายงาน เพื่อเพิ่มรายได้ ให้เพียงพอกับรายจ่ายที่ต้องแบกในแต่ละเดือน
ขณะเดียวกัน ผู้ที่สำเร็จการศึกษา ก็เพิ่มขึ้นมาทุกปี ทำให้งานที่มีอย่างจำกัด มีผู้แข่งขันมากยิ่งขึ้น

แล้วเราจะทำอย่างไร ให้ได้งานทำที่เหมาะสม เป็นไปดังฝัน (บางคนขอแค่มีงานทำก็เพียงพอแล้ว)

การเตรียมตัวที่ดี ย่อมทำให้ได้เปรียบกว่าผู้ที่เตรียมตัวไม่เพียงพอ
เพราะคำว่า โอกาสและจังหวะ มันไม่ผ่านเข้ามาในชีวิตคนเราบ่อยครั้ง
ดังนั้น เราจึงต้องพยายามเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง ด้วยการเตรียมตัวที่ดี
และคว้าให้ทันเมื่อจังหวะมาถึง ด้วยการเตรียมตัวที่ดีเช่นกัน

1. ถามผู้มีประสบการณ์ :
คำว่าผู้มีประสบการณ์ ตีความได้กว้าง เพราะรวมรุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นน้า รุ่นยาย
และผู้ที่สามารถจะแนะนำในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อเราได้ ทั้งการเตรียมตัว ตำแหน่งงานที่ว่าง
หรือแม้กระทั่ง งานในฝัน ที่ความจริงแล้ว คุณก็ยังหามันไม่เจอซักที

ขอให้กล้าหาญและยอมรับกับความเจ็บปวดในคำตอบ ที่อาจจะไม่เป็นไปตามสิ่งที่คุณคิด
แต่มันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อคุณในอนาคตได้ แม้การเตรียมตัวขั้นที่ 1 นี้ จะค่อนข้างเป็นนามธรรม
แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ใครที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีหน่อย จะได้เปรียบในข้อนี้ไป
(www.ask.com, http://www.about.com, http://www.whatis.com)


2. สร้างเรซูเมให้สมบูรณ์ :
ไม่ว่า จะเป็นผู้จบใหม่ หรือ มีงานทำแล้ว ก็ควรมีเรซูเม ด้วยกันทั้งนั้น
เพราะมันคือ สิ่งที่จะบอกให้ผู้จ้างงานทราบว่า เรามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่

ถ้าเป็นผู้จบใหม่ ก็นำประสบการณ์ จากการเรียนมาเขียน ทั้งกิจกรรม และผลงานที่มี
แต่ถ้ามีงานทำแล้ว ก็ให้ลดผลงานช่วงเรียนลง ให้เหลือแต่ประสบการณ์ทำงานจริงๆ
และปรับปรุงเรซูเมให้ทันสมัย อยู่เสมอ

ศาสตร์ในการเขียนเรซูเมก็สำคัญ การเขียนให้สะอาด ให้ชัดเจนและน่าสนใจ ไม่ใช่ของง่าย
ซึ่งหลายๆคน ต้องเขียนหลายๆครั้ง จนได้เรซูเมที่สวยงามในที่สุด
แต่ก่อนที่จะสวยงาม ถ้าคุณไม่เริ่มเขียน แล้วเมื่อไหร่จะสมบูรณ์
ถ้าไม่กล้าถามบุคคลในข้อ 1 หนังสือหนังหา และแหล่งความรู้มีอยู่ทั่วไป
โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ต (www.resume.com, http://www.provenresumes.com )ไปหามาศึกษาได้
(www.taos.com/working/tips.html)


3. ส่งเรซูเม :
ถ้าคุณต้องการหางาน แล้วไม่ส่งเรซูเมไปซะที แล้วเมื่อไหร่ จะได้งาน จริงมั้ย โดยก็ดูจากหนังสือพิมพ์
หน้าประกาศรับสมัครงาน กรมการจัดหางาน บริษัทล่าค่าหัว(www.HeadHunter.net)ต่างๆ
หรือถ้าจะให้ดี ดูทันสมัย ก็สมัครงานผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีมากมายทั้งในบ้านเรา และต่างประเทศ
โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ตนั้น(www.careerbuilder.com, http://www.flipdog.com,www.nationejobs.com,
http://www.jobsdb.com,www.jobpilot.co.th) มีความพิเศษอย่างยิ่งตรงที่ คุณสามารถค้นหางานได้รวดเร็ว
เหมาะสมกับคุณสมบัติ และเลือกงานได้มากยิ่งขึ้น เพราะเวบไซต์ที่มีบริการให้เราไปสมัคร(มีทั้งฟรีและไม่ฟรี)
พร้อมกับกรอกรายละเอียด และเรซูเมทิ้งไว้(www.webdeveloper.com)
จากนั้น ก็เข้าโปรแกรมค้นหางานตามที่เราตั้งขอบเขตไว้ จากนั้น เราก็เลือกตำแหน่งที่ต้องการ
แล้วสมัครงานผ่านเวบไซต์นั้นโดยตรง

หรือ อาจเข้าไปที่เวบไซต์เป้าหมายได้โดยตรง
ซึ่งปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่ มักจะมีหน้าประการรับสมัครงาน(Career, Oppotunities) ของตนเองอยู่เสมอ
ซึ่งหากเราสนใจตำแหน่งไหน ก็สมัครได้ทันที รวดเร็วและประหยัด


4. ขัดเกลาจดหมายปะหน้า :
โดยส่วนใหญ่ เมื่อมีต้องการสมัครงาน ต้องมีจดหมายปะหน้า หรือจดหมายสมัครงานไปควบคู่กับเรซูเมเสมอ
ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แม้การสมัครผ่านอินเทอร์เน็ตจะให้ความสำคัญกับเรซูเมเป็นหลัก
แต่แทบจะทุกไซต์ก็ต้องการจดหมายปะหน้าเช่นกัน เพื่อบอกให้นายจ้างทราบว่า เรามีจุดประสงค์อะไร
มีบุคลิกลักษณะเช่นไร ต้องการอะไร ฯลฯ ก็บรรเลงได้เต็มที่ (แต่ต้องดูดี)
(www.careercity.com/content/cvlttr/index.cfm, http://www.careerlab.com/letters/)

หลักการเขียนเล็กๆน้อยๆ ก็คือ เขียนให้เป็นธรรมชาติ บอกความเป็นตัวคุณที่สุด
อย่าสรรเสริญเยินยอใครจนเกินงาม อย่าติฉินนินทานายจ้างที่ผ่านมา ใช้ภาษาที่เป็นทางการ สละสลวย สุภาพ
ใช้รูปประโยคที่ชัดเจน ประเภทคำว่า คาดว่า อาจจะ ถ้า ฯลฯ ก็หลีกเลี่ยง
โดยการเขียนต้องเชิญชวนให้ไปอ่านเรซูเมเพิ่มเติม แต่ไม่ใช่เป็นการนำเรซูเมมาเขียนอีกครั้ง

คำพูดต้องไม่ขัดแย้งในตัวเอง โดยสรุปก็คือ เขียนให้ผู้ที่อ่านเขาตอบคำถามได้ว่า ทำไมเขาถึงต้องจ้างคุณ
อ้อ อย่าลืมบอกว่า สามารถติดต่อคุณได้อย่างไร สะดวกรวดเร็วที่สุด
รวมถึง การสะกดคำ การใช้กระดาษที่สุภาพดูดี การส่งที่เรียบร้อย และรูปแบบของข้อมูลในกรณีที่ต้องเป็นแฟ้ม
สำหรับเปิดอ่านในคอมพิวเตอร์นั้น ต้องเลือกรูปแบบและประเภทที่เปิดได้ง่าย


5. ฝึกฝนการตอบคำถาม :
การสร้างความประทับใจให้กับผู้สัมภาษณ์ที่สุด ก็คือ เราต้องหน้าตาสดใส ดูน่าคบหา (คบแบบร่วมงาน ไม่ใช่แฟน)
ตอบคำถามด้วยความมั่นใจ แต่พองาม ตอบคำถามได้ตรงประเด็น(พล่ามเกินไปไม่ใช่ผลดี) และสุภาพ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถฝึกฝนกันได้ จากการปรับปรุงบุคลิกภาพ ไม่ว่าคุณจะหน้าตาดีหรือไม่ดีแค่ไหน
ถ้าบุคลิกดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว (interview.monster.com/, )

ส่วนการฝึกฝนก็สามารถใช้จากข้อ 1 หรือเพื่อนๆได้เช่นกัน
และยิ่งสมัยนี้ เป็นยุคของภาษาต่างด้าวครองเมือง(อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน จีน สเปน ฯลฯ)
ดังนั้น การเตรียมฝึกพูดภาษาที่ 2 และ 3 ให้คล่อง ก็จะยิ่งดี และได้เปรียบผู้อื่นอีกแล้ว


6. ศึกษาผลตอบแทน :
ข้อนี้ อาจดูงกๆบ้าง แต่ก็เป็นสิทธิ์ที่เรามี การเรียกเงินเดือน ถ้าไม่พอใจกันทั้งสองฝ่าย ก็ทำงานด้วยการได้ไม่นาน
แน่นอนว่านายจ้างย่อมต้องการจ้างถูก และเราย่อมต้องการเงินเดือนสูงๆ
แต่มันต้องมีจุดที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่ายได้ โดยเราต้องดูว่า มีประสบการณ์แค่ไหน
บริษัทนั้นมีมาตรฐานการให้เงินเดือนเช่นไร ซึ่งถ้ามีคนรู้จักในสายงานที่จะสมัคร น่าจะพอเลียบๆเคียงๆถามได้ว่า
ควรจะเรียกเท่าไหร่ และเรียกให้เกินเล็กน้อย เผื่อต่อรอง
(www.jobsmart.org/tools/salary/sal-comp.htm, http://www.mcpmag.com/salarysurveys/default.asp)

และส่วนที่สำคัญอีกอย่างก็คือ สวัสดิการ ทั้งโบนัส วันลาพักผ่อน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยเลี้ยง ฯลฯ
ถ้าบริษัทไหนที่มีมากอยู่แล้ว ก็คงไม่มีปัญหา เพราะพนักงานย่อมชอบอยู่แล้ว
และถ้าบริษัทมีน้อย จนถึงไม่มีเลย ก็ต้องชั่งใจดูว่า ยอมได้มั้ย คุ้มมั้ย
เพราะถ้าคุณเข้าไปได้แล้ว จะมาเรียกร้องตรงนี้ย่อมดูไม่ดีแน่ๆ
ถ้าไม่แน่ใจ ก็ถามตอบสัมภาษณ์นั่นแหล่ะ เพราะเขาจะเปิดโอกาสให้เราซักถามอยู่แล้ว


7. ฝึกฝนอยู่เสมอ :
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยเรียน หรือวัยทำงาน คุณสมบัติข้อนี้ ควรจะมีอยู่เสมอ
เพราะหมายถึงการเพิ่มทักษะความชำนาญ ยิ่งชำนาญมาก ก็ย่อมมีโอกาสได้งานมาก

การฝึกฝนก็ทำได้หลายรูปแบบ พื้นฐานที่สุดคือ อ่านหนังสือ แล้วลงมือทำ
ถ้าจะให้ดีหน่อย ฝึกแบบที่จะทำให้ทำงานได้ดีขึ้นก็ดี จากนั้น ควรหาโอกาสทดสอบฝีมือบ้าง
ด้วยการไปสอบวัดผลต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีเปิดมากมาย(www.itit.co.th, http://www.mcpmag.com)
โดยเฉพาะทักษะด้านคอมพิวเตอร์ หรืออาจใช้วิธี ทดสอบกับเวบไซต์ต่างๆก็ได้(www.brainbench.com)
และเมื่อเราทดสอบผ่านแล้ว ได้ใบประกาศมา(แทบทั้งหมดไม่ฟรี)
ก็สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจให้นายจ้างได้ เป็นการเพิ่มโอกาสที่ดีเช่นกัน


8. ค้นหาสิ่งใหม่ๆ :
การเป็นผู้ไม่อยู่นิ่ง (หมายถึงมีความคิดสร้างสรรค์ และมีวิสัยทัศน์ ไม่ใช่การวิ่งไปวิ่งมา)
เป็นสิ่งที่นายจ้างชอบ และเป็นผลดีกับเรา

การค้นหาสิ่งใหม่ๆที่ไม่มีอยู่อื่นทำมาก่อน หรือมีแต่น้อย และจับมันก่อนใคร ย่อมทำให้คุณได้เปรียบผู้อื่น

ถ้าคุณเพิ่งสำเร็จการศึกษา ย่อมเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการนำเสนอเพื่อให้ได้งาน
หรืออาจจะเป็นนายตนเองก็ย่อมได้


9. วางแผนชีวิต :
บางคนอยู่ไปเรื่อยๆ ปล่อยไปตามลมจะพัดพาเราไป บางคน กะเกณฑ์ว่าปีนี้จะทำโน่น อายุเท่านี้จะทำนั่น
ดูไม่สมดุลย์เลยทั้งสองรูปแบบ การเดินทางสายกลาง จึงน่าจะดีที่สุด

การวิเคราะห์ตนเองอยู่เสมอ และปรับสถานการณ์ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะทำให้ชีวิตมีสุข
เป้าหมายคนเราไม่เหมือนกัน ความสุขของแต่ละคน คือความพอของคนนั้น
ใครมีสุขแค่ไหนก็จะพอแค่นั้น ดูความเหมาะสมกันเอาเอง


สำหรับข้อ 9 นั้น เป็นบทสรุปของบันไดทั้ง 9 ขั้น เพราะท้ายที่สุด เมื่อหันกลับมามองตัวเอง และผู้อื่น
เราต้องตอบคำถามให้ได้ว่า หนทางที่ก้าวไปนั้น เพื่ออะไร
เมื่อไปถึงจุดหมายแล้วจะทำอะไรต่อ และชีวิตนี้ต้องการอะไร

ไปๆมาๆ บทสรุปคล้ายกับจะเข้าสู่ทางธรรม ขอขมวดไว้เพียงเท่านี้
เดี๋ยวคุณผู้อ่านตะหนกว่าผมเป็นอะไร จะบวชแล้วหรือ ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ หาทางลงไม่เจอเท่านั้นเอง

สวัสดี


ที่มา :http://www.2poto.com/html2/article.php?sid=257
ภาพจาก :http://singlemindedwomen.com

คิดใหญ่...ต้องคิดเล็ก


คิดใหญ่...ต้องคิดเล็ก
คมคิด: แผนงานของดวงความคิดเป็นของนักคิด แต่คำตอบของลิ้นมาจากนักปฏิบัติ

เพื่อปรับปรุงพัฒนางานและองค์กร
ท่านจะเลือกปรึกษาใครระหว่าง นักวิชาการเจ้าทฤษฎี กับ ผู้ปฏิบัติงานจริง

“ช่วงนี้ เป็นอย่างไรไม่รู้ แลดูพนักงานรู้สึกเฉยๆ อยู่ไปเรื่อยๆ ทำงานพอให้ผ่านไปวันๆ”
วรรณฤดีกล่าวขณะมือแตะคางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“ความสดใหม่เริ่มต้นที่ความคิด” ยุทธศักดิ์พูดให้ฉุกคิด
“ดูตัวอย่าง พอเวลาผ่านไป บริบทเปลี่ยนไป
รัฐธรรมนูญที่ว่าดี ยังต้องปรับปรุงให้สดใหม่ และผ่านประชามติเพื่อรับรองว่าเหมาะสมใช้การได้ จริง”

“ใช่ซิ น่าจะลองให้พนักงานเสนอความคิดใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงตนเองและบริษัทดูบ้างเหมือนในเล่มนี้”
วรรณฤดีคิดออก พร้อมยื่นหนังสือ Idea Are Free ของ Alan G.Robinson & Dean M. Schroeder ให้ดู

เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ในองค์กรตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
เราอาจกระตุ้นความรู้ที่ฝังลึก (Tacit knowledge) ออกมาใช้
ด้วยการให้ความสำคัญกับความคิดใหม่ๆ จากพนักงานเพื่อพัฒนางาน องค์กรและสังคมได้

ผู้บริหารในองค์กรที่ประสบความสำเร็จ จะเห็นคุณค่าบุคลากรทุกระดับ
เปลี่ยนบทบาทตนเองจากผู้สั่งการ (Commander) และแก้ไขปัญหาทุกอย่างด้วยตนเอง
มาเป็นผู้ส่งเสริม (Facilitator) และผลักดัน (Mobilizer) บุคลากรให้เสนอความคิดดีๆ ให้มากที่สุด
เพื่อช่วยกันพลิกโฉมองค์กรอย่างเป็นรูปธรรมและได้ผล ด้วยตระหนักว่าความคิดแม้จะเล็ก
แต่หากกลั่นกรองมาจากประสบการณ์ที่รู้จริง ย่อมสร้างความได้เปรียบในการพัฒนาและแข่งขันอย่างมาก


ท่านส่งเสริมให้พนักงานเสนอความคิดดีๆ เพื่อปรับปรุงองค์กรอย่างไรบ้าง
มาสำรวจผ่านดัชนีการบริหารด้วยกัน

ดัชนีการบริหาร
ในช่วงที่ผ่านมา ท่านส่งเสริมให้เกิดความคิดดีๆ ในองค์กรเป็นอย่างไรบ้าง

กรุณากาเครื่องหมายหน้าข้อที่เห็นว่าตรงกับตัวท่าน

_____ ไม่ว่าจะเป็นความคิดเล็กหรือใหญ่ หากจะเกิดประโยชน์ต่องานและองค์กร ฉันรับฟังเสมอ
_____ ฉันมีวิธีกระตุ้น ส่งเสริม รวบรวมและพัฒนาความคิดใหม่ๆ จากทีมงานอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
_____ ฉันได้รับความคิดใหม่ๆ จากพนักงานทุกสัปดาห์

ข้อเสนอแนะ : หากท่านไม่ได้ ?ในข้อใดข้อหนึ่ง อาจใช้ “ทักษะคิดมุ่งพัฒนา” ช่วยได้


ทักษะคิดมุ่งพัฒนา (Development-focused thinking)
ทักษะนี้เป็นการส่งเสริม และเก็บเกี่ยวความคิดของบุคลากรในองค์กรมาใช้ ประโยชน์ให้มากที่สุด
ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วม รู้สึกภาคภูมิใจ
อีกทั้งสร้างความผูกพันเหนียวแน่นและเอกภาพในองค์กรมากยิ่งขึ้น
ทักษะนี้ประกอบด้วย 3 ขั้น ดังโมเดลและคำอธิบายถัดไปนี้

1.คาดหวังความคิดใหม่ๆ ทุกวัน
เป็นการตั้งเป้าหมายกับตนเอง และบุคลากรทุกคนร่วมกันว่าจะหาวิธีการหรือความ คิดใหม่ๆ
ที่จะปรับปรุงตนเอง ทีมงาน ระบบวิธีทำงาน และสภาพแวดล้อมในที่ทำงานอย่างไรให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ซึ่งจะทำให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีสติ และคิดเชิงบวกเพื่อพัฒนางานอยู่เสมอ
อาจตั้งเป้าหมายว่า “ฉันจะหาวิธีใหม่ๆ ในการทำงานให้ดีขึ้นอย่างน้อยวันละ 1 อย่าง”

โดยไม่ต้องกังวลว่าความคิดจะไม่ดี ไม่เข้าท่า
เพราะความคิดที่ดีมักเริ่มต้นจากดูไม่เข้าท่ามาก่อน แล้วนำมาพัฒนาต่อยอดภายหลัง

2.ถามเชิงบวก
เป็นการตั้งคำถามในระหว่างปฏิบัติงานอยู่เสมอๆ
เพื่อการปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
อันส่งผลดีต่อองค์กรและสังคมในที่สุด ยกตัวอย่างคำถาม 3 หมวด ดังนี้

คำถามสำหรับบุคลากรทุกระดับ
ถ้าเปลี่ยนได้ อยากให้การทำงานเป็นอย่างไรในวันนี้
หากย้อนเวลากลับไปได้ จะทำอะไรเพิ่มเพื่องานจะออกมาดียิ่งขึ้น
วันนี้มีอะไรที่รู้สึกไม่ได้ดังใจ อยากให้เป็นอย่างไร
ฉันจะสนุกและมีความสุขในการทำงานมากขึ้น หาก...
ฉันอยากให้งานที่ทำ สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมมากยิ่งขึ้น โดยการ...

คำถามสำหรับผู้บริหาร
ทำอย่างไรให้ทีมงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ทำอย่างไรให้ผลผลิตที่ออกมา ลดค่าใช้จ่ายลงได้อีก ปริมาณสูงขึ้น คุณภาพได้มาตรฐาน

คำถามสำหรับผู้ปฏิบัติงาน
วันนี้เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น ทำให้ได้เรียนรู้อะไร จะป้องกันอย่างไร
ทำอย่างไรให้งานเสร็จออกมา รวดเร็วขึ้น ประหยัดขึ้น สะอาดขึ้น เป็นระเบียบขึ้น
ฉันและเพื่อนจะทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หาก...

3.พัฒนาและทดลองใช้
เป็นการรวบรวมความคิดใหม่ๆ มาประเมิน ปรับปรุงและนำไปทดลองใช้จริง ซึ่งควรทำอย่างรวดเร็ว
โดยทุกความคิดควรได้รับการยกย่องให้เกียรติหรือรางวัลตามเหมาะสม
ไม่ว่าจะสามารถนำไปใช้ได้จริงมากน้อยเพียงใดก็ตาม
เพื่อสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจ อันนำมาซึ่งการผูกพันเหนียวแน่นต่อกัน (Cohesiveness)
และเอกภาพ (Unity) ในองค์กร

“ล่าสุด มีใครเสนอความคิดใหม่ๆ ให้ท่านบ้าง ท่านขอบคุณเขาหรือยัง”


โดย น.พ.ยุทธนา ภาระนันท์
ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/25/WW73_7301_news.php?newsid=90812
ภาพจาก http://www.123rf.com/photo_2791149.html

อารมณ์บนใบหน้า สิ่งสำคัญที่ควรหัดควบคุม


อารมณ์บนใบหน้า สิ่งสำคัญที่ควรหัดควบคุม
การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม
นอกจากอารมณ์ทางด้านจิตใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ การควบคุมอารมณ์บนใบหน้าของคุณ นั่นเอง

เพราะใบหน้านี่แหละค่ะ ที่จะเป็นสิ่งทำให้คนอื่นรู้ว่าขณะนั้นคุณกำลังรู้สึกอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยนะคะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เป็นนักบริหารทุกคน
เพราะสิ่งนี้ อาจทำให้ความน่าเชื่อถือที่มีอยู่ในตัวคุณลดน้อยลงไปได้

ผู้บริหารบางคน มักจะมองข้ามตรงจุดนี้นะคะ
อาจเป็นเพราะคิดว่า แค่ควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้เนี่ย ก็เป็นเรื่องยากพออยู่แล้ว
เพราะเวลาโกรธทีไร แค่ควบคุมคำพูดแต่ละคำ ไม่ให้รุนแรงเกินไปก็ทำได้ลำบาก
แล้วยังจะต้องมานั่งกังวลกับสีหน้าที่แสดงออกอีก

แต่รู้ไหมคะ ว่าเวลาที่คุณโกรธหรือไม่พอใจขึ้นมา สิ่งที่ออกหรือแสดงให้คนอื่นเห็นเป็นอย่างแรก ก็คือ
สีหน้าคุณ นี่แหละค่ะ และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดมากกว่าอย่างอื่นด้วย

มีผู้บริหารหลาย ๆ ท่านนะคะ ที่เวลาโกรธ หรือไม่พอ หรือเกิดความรู้สึกอะไรสักอย่าง
มักแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกทางสีหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่คุณคิดว่าคุณควบคุมอารมณ์เหล่านั้นไว้แล้วก็ตาม

การแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ออกทางสีหน้ามากเกินไป โดยที่ไม่เก็บอาการต่าง ๆ เหล่านั้นไว้เลย
อาจเป็นเพราะว่าคุณคิดว่าคุณเป็นหัวหน้าจะทำอย่างไรก็ได้ อย่างนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยนะคะ
เพราะอาจทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณ เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับคุณได้

ลองคิดดูง่าย ๆ นะคะ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณโกรธ หรือไม่พอใจ แล้วคุณแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกทางสีหน้า
ก็จะทำให้คนที่กำลังอยู่กับคุณตอนนั้นเกิดความรู้สึกที่ว่า คุณเป็นคนไม่รู้จักเก็บความรู้สึกเอาเสียเลย
อย่างถ้าเกิดตอนนั้นคุณไปพบลูกค้า แล้วเมื่อคุณเสนองาน เขากลับไม่ชอบตามที่คุณเสนอ
คุณก็ชักสีหน้า แสดงความไม่พอใจ แล้วคุณว่าลูกค้าคนนั้นเขาจะคิดอย่างไร

อย่างแรก ต้องไม่พอใจคุณกลับแน่ ๆ ที่ตามมา ก็คือ อารมณ์เสียของเขา เพราะเขาคงต้องเกิดความรู้สึกว่า
เขาเป็นลูกค้า คุณยังมาทำหน้าไม่พอใจใส่เขา ดีไม่ดีเขาอาจไม่ทำงานกับคุณอีกเลยก็ได้

หรือถ้าเป็นในบริษัท คุณเกิดความรู้สึกที่ดี ๆ กับลูกน้องของคุณคนหนึ่งเป็นพิเศษ แบบพิเศษจริง ๆ นะคะ
แล้วคุณก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าคุณชอบเขามาก ๆ
เชื่อไหมคะว่าลูกน้องของคุณคนนั้นต้องกลัวคุณแน่
ส่วนคนอื่น ๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง รับรองได้เลยว่าเขาต้องเอาคุณไปพูดในทางที่เสียหายแน่นอน
ถ้าคุณยังนึกไม่ออกว่าการไม่ควบคุมอารมณ์ทางสีหน้าเป็นอย่างไร
ลองวิธีง่าย ๆ อย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา เชื่อว่าคุณต้องคิดออกแน่ ๆ

การควบคุมอารมณ์ทางสีหน้า นอกจากจะช่วยลดความไม่พอใจที่คนอื่น ๆ มีต่อคุณแล้ว
ก็ยังทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่า คุณเป็นผู้บริหารที่มีความสุขุมด้วยนะคะ
นอกจากนั้นก็ยังสร้างความรู้สึกที่ดี ที่ผู้ใต้บังคับบัญชามีต่อคุณอีกด้วย

อย่างในกรณีข้างต้น คุณไปติดต่อลูกค้าแล้วเขาไม่พอใจงานของคุณ
ถ้าคุณหน้าบึ้งแล้วอธิบายก็จะกลายเป็นว่าคุณไปเถียงเขา แต่ถ้าคุณยิ้มแล้วค่อย ๆ อธิบายให้เขาฟัง
เชื่อว่าเขาต้องยอมรับฟังแน่ ๆ คะ
แล้วผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ไปกับคุณก็ต้องเกิดความรู้สึกที่ดีว่าคุณเป็นคนที่ ทำงานเก่ง
ขนาดไม่พอใจยังรู้จักเก็บอารมณ์ค่อย ๆ อธิบายจนลูกค้ายอมรับฟังความคิดเห็น ได้ทั้งใจได้ทั้งงาน
เห็นไหมคะว่าการควบคุมอารมณ์ทางสีหน้า เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นขนาดไหน

อารมณ์ทางสีหน้า เป็นสิ่งที่แสดงออกให้คนอื่นเห็น ชัดเจนมากกว่าอารมณ์ที่เกิดจากความรู้สึกนะคะ
เวลาที่คุณเกิดความรู้สึก และคิดว่าควบคุมความรู้สึกแล้ว
ลองคิดต่ออีกสักนิดนะคะว่า ตอนนั้นคุณได้ควบคุมสีหน้าคุณไว้แล้วหรือยัง
ถ้ายัง ก็รีบเก็บอารมณ์ทางสีหน้าของคุณไว้เถอะ เพราะสิ่งนี้นอกจากจะเพิ่มความรู้สึกที่ดีที่คนอื่นมีต่อคุณแล้ว
ยังแสดงให้เห็นถึงความสุขุมที่มีอยู่ในตัวคุณ ช่วยเพิ่มบุคลิกของนักบริหารที่มีอยู่ในตัวคุณด้วยนะคะ


ที่มา http://www.jobroads.net/Article/ViewArticle.asp?ID=332

34 วิธีพูดว่า "ไม่" ให้ประทับใจและได้ผล


34 วิธีพูดว่า "ไม่" ให้ประทับใจและได้ผล
34 วิธีพูดว่า ไม่ ให้ประทับใจและได้ผล

การทำให้ผู้อื่นคล้อยตามวิธีการของคุณ

1. อย่าพูดว่า ได้ ถ้าคุณตั้งใจจะพูดว่าไม่

2. คุณเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆ หรือเปล่า ตั้งใจจะพูดว่า ไม่ แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ ถึงพูดได้ว่า ได้ ออกมาแทน?

เปลี่ยนตัวเองเสียใหม่แล้วทำให้เป็นนิสัยด้วยการสูดหายใจเข้าลึกๆ
และกลั้นหายใจไว้อย่างน้อย 3 วินาทีก่อนจะตอบ
การกระทำเช่นนี้จะช่วยขัดจังหวะการตอบรับด้วยความปากไวของคุณ
และให้เวลาคุณอย่างน้อย 2-3 วินาที ที่จะคิดหาทางพูดคำว่า ไม่ ออกมา

3. "ไม่" เป็นคำที่สั้นที่สุดในแทบทุกภาษา การตอบ ไม่ ที่ได้ผลที่สุดมีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นแรก ทวนคำพูดหรือคำขอ ของอีกฝ่ายอย่างย่อๆ เพื่อแสดงว่าคุณรับทราบและใส่ใจฟัง
ขั้นที่ 2 ตอบ ไม่ อย่างรวดเร็วและสุภาพ (เช่น ขอโทษ ฉันทำไม่ได้)
ขั้นที่ 3 แสดงความขอบคุณสำหรับการถามหรือคำขอ (ขอบคุณนะที่นึกถึงฉัน)

4. ปัญหาอย่างหนึ่งของคำว่า ไม่ คือ ทำให้ผู้ได้รับการตอบปฏิเสธเกิดความหงุดหงิด หรือไม่สบายใจ
เพราะการปฏิเสธทำให้เกิดความรู้สึกเสียศูนย์

เราสามารถทำให้ผู้ได้รับการตอบปฏิเสธรู้สึกดีขึ้นได้ ด้วยการเสนอทางเลือก โดยอาจจะตอบว่า
"ถึงแม้เราจะส่งของทั้งหมดตามวิธีที่คุณต้องการไม่ได้
แต่เราสามารถส่งบางส่วนให้คุณโดยเครื่องบิน และส่วนที่เหลือโดยรถบรรทุก"

5. ตอบ ไม่ กับคำขอ ไม่ใช่กับตัวผู้ขอ
โดยพยายามแยกประเด็นของเรื่องออกจากตัวบุคคล ยกตัวอย่างเช่น
ควรจะตอบว่า "ฉันทำงานนี้ไม่ได้" ซึ่งให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการพูดว่า "ฉันทำงานนี้ให้คุณไม่ได้"

6. ก่อนจะพูด ไม่ ให้นึกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งให้ความสำคัญหรือคำนึงถึงเสียก่อน
โน้มน้าวให้อีกฝ่ายเห็นว่า การตอบ ไม่ ของคุณนั้น ไม่ใช่แค่การตอบแบบไม่คิดถึงเขาใจเรา
แต่ยังเป็นคำตอบที่ดีสำหรับเขาด้วยเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น คุณถูกขอร้องให้เลื่อนกำหนดส่งงานให้เร็วกว่าเดิมด้วย จำนวนวันที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล
แทนที่จะตีอกชกตัวแล้วโวยวายว่าทำไม่ได้ คุณควรจะเน้นให้อีกฝ่ายเห็นว่า คำขอนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
โดยตอบว่า "ฉันคงจะลดเวลาทำงานเพื่อให้ส่งงานเร็วขึ้นตามที่คุณขอไม่ได้หรอก
เพราะผลงานที่ออกมาจะไม่ได้มาตรฐานอย่างที่คุณคาดหวังเอาไว้"

7. หนึ่งในวิธีที่ทำให้ "อีกฝ่ายหนึ่ง" คล้อยตามวิธีการของคุณอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด คือ
พยายามมองเหตุการณ์ในมุมมองของเขา และทำความเข้าใจในฐานะที่เป็นตัวเขา แทนที่จะตอบว่า ไม่
คุณควรใช้วิธีการต่อรองหรือประนีประนอม หรือให้ข้อแลกเปลี่ยนแบบหมูไปไก่มา เช่น
"ถ้าคุณสัญญาว่าจะสนับสนุนโครงการนี้ของผม ผมจะทำทุกอย่างที่ทำได้
เพื่อให้งบประมาณของคุณได้รับการอนุมัติ โดยไม่ถูกหั่นแม้แต่บาทเดียว"

8. ถ้าการยื่นหมูยื่นแมวข้างต้นไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม
ให้เปลี่ยนมาเป็นการเสนอทางเลือกที่เป็นรูปธรรม ซึ่งควรจะเป็นทางเลือกที่รับได้ทั้งสองฝ่าย
และเป็นการประนีประนอมโดยไม่ทำให้คุณเสียเปรียบ
การแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเรายืดหยุ่นได้มักจะให้ผลดี
ในขณะที่การปฏิเสธแบบทื่อๆ มักจะทำให้อีกฝ่ายเกิดการรู้สึกขุ่นเคือง

9. แทนที่จะพูดว่า ไม่ ทำไมไม่โยนภาระที่เกิดจากคำขอนั้นกลับไปยังผู้ขอ?
"โจ คุณอยากให้ผมจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรล่ะ?"
หรือ "แล้วคุณคิดว่าวิธีการแก้ไขปัญหาที่สมเหตุสมผลสำหรับคุณคืออะไรล่ะ ปีเตอร์?"

10. ถ้าคุณตัดสินใจที่จะใช้การต่อรอง แทนที่จะดันทุรังพูดว่า ไม่ อย่างห้วนๆ
ขอให้ต่อรองด้วยจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน มีความจริงใจ และองโลกในแง่ดี
ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยไม่ให้คุณหลงประเด็นและทำผิดพลาดเท่านั้น
แต่ยังแสดงให้ผุ้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการต่อรองเห็นว่า คุณคุมสถานการณ์ได้

11. วางแผนการต่อรองอย่างถี่ถ้วนไม่ว่าจะมาในลักษณะไหน
คุณต้องรู้ว่าคุณต้องการอะไร และอีกฝ่ายจะปฏิเสธคุณอย่างไรบ้าง
คุณควรจะวางแผนว่าจะโต้ตอบการปฏิเสธนั้นๆ เอาไว้ล่วงหน้า
แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อจะตอบปฏิเสธเท่านั้น
นอกจากนี้การเตรียมพร้อมยังช่วยให้คุณสามารถประเมินสถานการณ์ ที่อาจจะเกิด ขึ้นได้อย่างคร่าวๆ
และทำให้คุณสามารถชี้นกเป็นไม้ได้อย่างที่ต้องการ

12. เมื่อเลิกที่จะปฏิเสธก็ไม่จำเป็นจะต้องมานั่งละอายใจหรือรู้สึกผิด
เพราะการปฏิเสธคือสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
หลังพูดว่า "ไม่ ฉันไม่ได้ทำ" ไปแล้ว ก็ขอให้รักษากิริยาให้นิ่งและสงบ

13. ถ้าเป็นไปได้ เมื่อจะพูด ไม่
อย่าพูดแค่คำว่าไม่ แล้วจบไว้แค่นั้น ควรแสดงความเห็นอกเห็นใจฝ่ายที่ได้รับการปฏิเสธ ด้วยการให้กำลังใจ
เพื่อไม่ให้เขารู้สึกในทางลบมากนัก โดยอาจจะปลอบไปว่า
"ฉันรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงเมื่อถูกปฏิเสธ เพราะฉันก็เคยรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
แต่บางทีเราต้องยอมรับนะว่า คำขอของเราอาจไม่สมเหตุสมผล..."

14. ตอบ ไม่ แบบธรรมดาๆ ไม่ใช่แสดงอาการเช่น เขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วพูดว่า
"ให้ตายเถอะ จ้างก็ไม่มีทางทำให้หรอก" การปฏิเสธแบบเรียบๆ จะดีกว่าการออกท่าทาง
เพราะแค่คำว่า ไม่ อย่างเดียวก็ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกไม่ดีมากพออยู่แล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องกระตุ้นให้เกิดความขุ่นเคืองใจ ด้วยการใช้คำพุดรุนแรงหรือ แสดงท่าทาง



ไม่ กับการได้รับมอบหมายงานเพิ่ม

15. การปฏิเสธเมื่อได้รับมอบหมายงานเพิ่ม มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี
วิธีแรก คือ โจมตีงานนั้นโดยตรง
โดยแสดงให้เห็นว่างานนั้นมีข้อบกพร่อง เป็นไปไม่ได้ หรืออาจไม่จำเป็นจะต้องทำ

วิธีการที่ 2 คือ อาจจะแย้งว่า ถึงแม้โครงการจะใช้ได้และไม่มีปัญหาอะไร
แต่คุณไม่ใช่คนที่ดีที่สุดที่จะทำงานชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าคุณสมบัติไม่ตรงกับงานหรือประสบการณ์ไม่มากพอ
หรือคุณเหมาะกับงานอื่นมากกว่า

วิธีสุดท้าย คือ คุณอาจจะพูดแค่ว่า คุณไม่ขอรับงานชิ้นนี้

16. แต่ถึงจะชักแม่น้ำทั้ง 5 มาพูดแล้วก็ยังไม่อาจปฏิเสธได้ วิธีที่ดีที่สุดที่ควรจะนำออกมาใช้คือ
พยายามโน้มน้าวให้เจ้านายของคุณเห็นว่า คุณน่าจะทำประโยชน์ให้กับบริษัทได้มากกว่าในงานชิ้นอื่น

17. เมื่อคุณเสนอทางเลือกให้เจ้านาย โดยบอกว่าคนอื่นเหมาะสมกับงานนั้นมากกว่าคุณ
ขอให้มุ่งประเด็นไปที่ทางเลือกที่คุณเสนอให้ โดยอย่าเผลอเน้นว่าตัวคุณไม่เหมาะสม

18. เมื่อได้รับงานเพิ่ม แทนที่จะตอบปฏิเสธงานไปในทันที พยายามชี้ให้เห็นถึง "ปัญหาที่มีอยู่"
"ข้อบกพร่อง" หรือ "จุดที่ยังติดขัด" หรือ "ประเด็นที่ยังเป็นคำถาม" หรือ "สิ่งที่จำเป็นจะต้องแก้ไข"
ให้เสร็จก่อนที่งานจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณทำการบ้านและใส่ใจในงาน
นอกจากนี้ยังเป็นการให้โอกาสเจ้านาย ได้รับทราบถึงความยากลำบากของงานนั้น ด้วยตัวของเขาเอง
ดีกว่าการบ่นว่าเจ้านาย ว่าไม่ยุติธรรมที่เอางานยากๆ มาให้คุณทำ

19. เมื่อปฏิเสธงานที่ได้รับมอบหมายเพิ่ม
สิ่งที่ไม่ควรทำเลยก็คือ โยนงานคืนให้เจ้านายไปเฉยๆ คุณควรปฏิเสธพร้อมกับแนะนำทางเลือกให้ด้วย

20. ถ้าคุณตอบ ไม่ กับงานโดยพูดแค่ว่าคุณไม่เหมาะสม
คุณกำลังเสี่ยงกับการทำให้คนอื่นเข้าใจผิด และคิดว่าคุณพยายามจะเดินหนีจาก หน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ
การป้องกันไม่ให้คนอื่นคิดเช่นนั้นก็คือ การเสนอคนอื่นให้มาทำงานแทนโดยให้เหตุผลสนับสนุน
และทำให้คล้อยตามว่าเพราะเหตุใดคนคนนั้น จึงเหมาะสมกับงานนั้นมากกว่าคุณ
การกระทำเช่นนี้จะช่วยทำให้คุณไม่ถูกมองว่าขาดความรับผิดชอบ

21. คุณไม่จำเป็นจะต้องตอบว่า ไม่ ในทันทีทันใด คุณไม่ควรแสดงอาการตอบรับหรือปฏิเสธ
แต่ ควรแจ้งกับเจ้านายว่า คุณขอเวลาดูรายละเอียดและทบทวนงานนั้นเสียก่อน
ทั้งนี้เพื่อช่วยให้คุณมีเวลาคิดหาทางหนีทีไล่ และคิดหาทางเลือกที่เหมาะสม และมีเหตุมีผล
เพื่อทำให้เจ้านายของคุณคล้อยตาม

22. เมื่อปฏิเสธงาน ควรเริ่มต้นด้วยการอ้างถึงงานที่ประสบความสำเร็จในอดีตของคุณ
แล้วตามด้วยการเปรียบเทียบงานที่ได้รับมอบหมายกับงานเด็ดในอดีต
โดยชี้ให้เห็นว่าทำไมคุณถึงไม่ใช่คนที่เหมาะที่สุดสำหรับงานนี้ อย่างเช่น
"ก็อย่างที่คุณทราบนั่นแหละครับว่าโครงการนั้นที่ผมดูแลอยู่ ประสบความสำเร็จขนาดไหน
ที่งานนั้นออกมาดีก็เพราะว่าผมถนัดเรื่องขายส่ง และรู้เรื่องขายส่งอย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่โครงการที่คุณกำลังจะขอให้ผมทำในตอนนี้เป็นเรื่องการขายปลีก ซึ่งจำเป็นต้องใช้มืออาชีพทางด้านนี้
และต้องรู้จักงานขายปลีกอย่างละเอียดละออ นอกจากนี้ต้องมีฝีมือในระดับที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับผม
ผมขอพูดตรงๆ เลยนะครับว่า โจเป็นมืออาชีพในเรื่องขายปลีก ไม่ใช่ผม"

23. ซ่อนคำว่า ไม่ ของคุณเอาไว้ภายใต้คำชมเชย

แอน : ฉันเสนอชื่อคุณเข้าร่วมทำโครงการแอมแทร็กซ์ เพราะรู้ว่าคุณคงไม่ยอมพลาดงานนี้
และฉันก็มั่นใจว่าคุณจะต้องหาเวลาว่างได้แน่ๆ

คุณ : ขอบคุณจริงๆ นะแอนที่นึกถึงผม แต่ปีนี้ผมจับงานของลินด์ควิสอยู่และอยากทำให้เสร็จทันเวลา
ผมเลยต้องทุ่มเทเต็มที่จนไม่มีเวลาจะไปทำอย่างอื่น คุณก็รู้ว่าผมชอบทำงานกับคุณมากขนาดไหน
เอาเป็นว่าถ้าผมว่างเมื่อไร ผมจะไม่ยอมพลาดทำงานร่วมกับคุณอย่างแน่นอน

24. งานที่คุณต้องทำมีกองสูงจนท่วมหัว ในขณะที่จอห์นแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย
ใครๆ ก็รู้ว่าคุณทำงานดี ทำงานเก่ง ซึ่งตรงข้ามกับจอห์น เพราะอย่างนี้เจ้านายถึงเอางานมาให้คุณทำเกือบทั้งหมด
การพูด ไม่ ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การกระจายงานเป็นไปอย่างยุติธรรมเท่านั้น
ยังทำให้เจ้านายได้คิด กลับมองคุณดีขึ้นแถมยังเล็งเห็นถึงการเป็นคนมีเหตุมีผล และรู้จักเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้อง
คุณควรพูดกับเจ้านายของคุณแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ด้วยการอ้างถึงประโยชน์ของหน่วยงานเป็นสำคัญ
ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของคุณ โดยอาจจะกล่าวว่า
"คุณเพอร์กินส์ครับ แผนกของเรากำลังมีปัญหาเรื่องการกระจายงาน ผมเกรงว่าถ้างานมาสุมกันอยู่ที่ผมมากๆ
ผมคงไม่มีเวลาพอที่จะทำให้งานทุกๆ ชิ้นให้ผลงานออกมาดีได้เท่าเทียมกันและคงจะดูแลได้ไม่เท่าที่ควร
และทำให้ผลงานของแผนกเราด้อยลงกว่าเดิมนะครับ"
การเริ่มต้นเช่นนี้คือวิธีการเปิดประเด็น เพื่อให้มีการปรับปรุงหรือแก้ไข อย่างตรงไปตรงมา


ไม่ กับเพื่อนร่วมงานและผู้ร่วมงาน

25. คุณถูกชวนให้ไปงานเลี้ยงของแผนก แต่งานคราวก่อนไม่สนุกและกร่อยมาก
คุณไม่อยากจะเจอกับประสบการณ์แบบคราวที่แล้วอีก คุณจะปฏิเสธอย่างไรเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมงานเสียน้ำใจ?
ให้ตอบปฏิเสธแบบไม่ต้องอธิบายเหตุผล โดยพูดเรียบๆ ว่า "ขอโทษน่ะ ผมคงไปร่วมงานไม่ได้"
การปฏิเสธควรจะสั้น กระชับ เรียบง่ายและสุภาพ
แค่พูดว่าขอโทษที่ไปไม่ได้ โดยไม่จำเป็นจะต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม

26. คุณถูกชวนให้ไปงานเลี้ยงของแผนกและอยากจะไป
แต่เผอิญคุณมีนัดกับคนที่บ้านไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ควรจะตอบปฏิเสธและกล่าวแสดงความเสียใจ
จากนั้นอธิบายเหตุผลสั้นๆ โดยหลีกเลี่ยงการตำหนิคนที่ทำให้คุณไปร่วมงานไม่ได้ โดยกล่าวว่า
"บิล ผมอยากจะมางานจริงๆ แต่เผอิญวันนี้เป็นวันเกิดของซาร่าห์ เราตกลงว่าจะฉลองกันเป็นพิเศษ
ผมนัดเธอไว้แล้วว่าจะไปทานอาหารค่ำด้วยกัน"
แทนที่จะเป็น
"แย่จังเลยบิล ผมอยากจะมาร่วมงานมากเลยน่ะ แต่เผอิญวันนี้เป็นวันเกิดของซาร่าห์ เธอฆ่าผมตายแน่
ถ้าผมมางานของแผนกแทนที่จะใช้เวลาอยู่ฉลองวันเกิดกับเธอ"

27. ไม่มีใครอยากถูกมองว่าเป็นคนที่หลอกได้ง่าย
แต่คุณเคยถูกต้อนให้พูดคำว่า ได้ ด้วยคำพูดคล้ายแบบนี้บ้างไหม?
"จริงๆ นะโจ คุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะทำงานนี้ได้!"
วิธีการตอบปฏิเสธคำพูดที่เป็นกับดักล่อเช่นนี้คือ การหยอดกลับไปในลักษณะ เดียวกับที่อีกฝ่ายหยอดมา
โดยคุณอาจจะตอบกลับไปว่า
"อย่าทำให้ผมตัวลอยเลย จอห์นและแมรี่ต่างหากที่เหมาะกับงานนี้ แถมตอนนี้ทั้งสองคนก็กำลังว่างอยู่พอดีเลย"

28. เมื่อต้องตอบปฏิเสธ ควรตามด้วยการอธิบาย ไม่ใช่การแก้ตัว
"แซม ขอโทษด้วยน่ะที่เปลี่ยนสถานที่ประชุมให้ไม่ได้ คุณก็รู้ว่าเราต้องจองสถานที่ล่วงหน้า
และวางเงินมัดจำไปแล้ว ผู้ร่วมประชุมคนอื่นต่างก็เห็นพ้องกับสถานที่จัดการประชุม
ถ้าจะต้องเปลี่ยนเราคงจะต้องเสียเวลาแจ้งให้ทุกคนทราบ และคงจะต้องมาเริ่มต้นกันใหม่
เพราะอาจจะมีคนไม่สะดวกถ้าเปลี่ยนสถานที่
ฉันหวังว่าคุณคงหาทางเปลี่ยนแผนของคุณ เพื่อให้สามารถมาร่วมประชุมกับเราได้"

29. ขยายขอบเขตการปฏิเสธของคุณจากตัวคุณเองออกไปสู่คนหมู่มาก หรือหาข้ออ้างอิงที่มีเหตุผม
รวมทั้งการใช้ตัวเลขต่างๆ เพื่อสนับสนุนการตอบปฏิเสธของคุณ ให้ดูมีความน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักยิ่ง ขึ้น
เช่น "ตายจริง ซาร่า ได้ยินว่า คุณมีนัดอื่นซ้อนกับการประชุมของเราใช่ไหม หวังว่าคุณคงหาทางเปลี่ยนเวลาได้นะ
ฉันอยากจะเปลี่ยนเวลาประชุมให้คุณจังเลย และต้องคิดถึงผู้เข้าร่วมประชุมอีก 15 คนว่า
เขาจะว่างกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ นอกจากนี้ทุกคนก็ยืนยันแล้วว่า วันที่ 12 ตอน 9 โมงเช้ามาได้ไม่มีปัญหา
หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะ มีอะไรพอที่ฉันจะช่วยได้บ้างไหม
เพื่อให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนเวลานัดของคุณ เพื่อให้คุณมาประชุมกับเราได้?"

30. ความรุนแรงในที่ทำงานเกิดขึ้นได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ไม่ใช่ในรูปของการชกต่อยหรือใช้กำลัง
แต่มักจะเป็นการถากถางหรือหมิ่นกันด้วยวาจา ด้วยฝีมือของผู้ที่ชอบระรานคนอื่นโดยไม่มองดูความเป็นจริง
และไม่เคยเห็นชอบกับความคิดความอ่านของคุณแม้แต่น้อย เขาพยายามที่จะโจมตีความคิดเห็นของคุณให้จมดิน
ด้วยการใช้คำพูดวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นการแสดงความดูหมิ่น

การพูดว่า ไม่ กับการกระทำเช่นนี้ คือ อย่ายอมลงให้ และคุณจะต้องข่มใจอย่าให้เกิดการทะเลาะวิวาท
โดยการให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มก่อน เมื่อเขาเริ่มพูดจาถากถาง ขอให้คุณยิ้มสู้เข้าไว้ แล้วตอบกลับไปว่า
"ผมเข้าใจนะบิล ว่าคุณไม่เห็นด้วยกับความคิดของผม เพราะคุณแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งนั่นก็เป็นสิทธิของคุณ และไม่แน่คุณอาจจะคิดถูกก็ได้
แต่ผมคิดว่าแผนงานของผม น่าจะเหมาะกับความต้องการอย่างเร่งด่วนที่เรากำลัง เผชิญอยู่ในขณะนี้
และถ้าผมได้มีโอกาสอธิบาย ผมคิดว่า เราทุกคนก็น่าจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับแผนนี้ดี
จะใช้ จะเปลี่ยน หรือจะโยนมันทิ้งไปซะ"

31. ที่ทำงานคือสังคมเล็กๆ ซึ่งไม่แตกต่างจากสังคมอื่น ที่เราอาจจะสร้างได้ทั้งมิตรและศัตรู
แต่โดยปกติแล้วคุณคงเจอกับคนที่รู้สึกดีกับคุณมากกว่าคนที่คิดร้าย
แต่คุณจะทำอย่างไร ถ้าเพื่อนร่วมงานพยายามจะคัดค้านความคิดเห็นของคุณ
และขัดขวางการทำงานของคุณเป็นประจำ?
คุณอาจจะพูด ไม่ กับพฤติกรรมเช่นนี้ โดยการโต้กลับคนนิสัยเสียด้วยการกระทำในลักษณะเดียวกัน
แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะเท่ากับว่า คุณเองก็สนับสนุนพฤติกรรมอันไม่สมควรนั้นด้วยเช่นกัน
ยิ่งโต้กันไปโต้กันมานานวันเข้า ก็จะรุกลามกลายเป็นทะเลาะวิวาทที่ยืดเยื้อ ซึ่งคุณอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
แทนที่จะโต้ตอบ คุณควรพยายามหาหนทางเปลี่ยนศัตรูของคุณให้กลายมาเป็นมิตร
เมื่อคุณมีความคิดอะไรใหม่ คุณควรนำมันไปคุยกับเขาก่อนที่จะเอาเข้าที่ประชุม ยกตัวอย่างเช่น
"คาร์ล ขอความเห็นสักนิดจะได้ไหม ผมรู้มาว่าคุณสนใจเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นพิเศษ
เผอิญลูกค้ารายใหม่ของผมผลิตอุปกรณ์ประเภทนี้พอดี ผมมีความคิดที่จะ....
คุณคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง พอจะใช้ได้ไหม?"

ถ้าคุณทำให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมในแผนงานของคุณได้ คุณก็มีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากเขา
แต่สิ่งที่คุณต้องระวังให้ดีก็คือ อย่าให้เขามาแย่งผลงานของคุณไปเสียล่ะ

32. พวกปากหอยปากปู น่ารำคาญจริงๆ
คนพวกนี้คือเพื่อนร่วมงานหรือผู้ร่วมงาน ที่ชอบพูดจากวนโมโหและสร้างความ รำคาญใจ
ในทางทฤษฎีคุณควรจะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ และไม่ควรจะเอามาใส่ใจ
แต่ในความเป็นจริง คนเหล่านี้คือพวกชอบวิพากษ์วิจารณ์และประสงค์ร้าย การพูดว่า ไม่ กับคนประเภทนี้
จำเป็นต้องใช้วิธีการเปลี่ยนเป้าโจมตีของพวกเขา จากตัวคุณไปเป็นอย่างอื่นที่ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

พวกปากหอยปากปู : "ว่าไงบ๊อบ เมื่อไรนโยบายของคุณจะคลอดซะทีล่ะ ทำงานช้ายังกับเต่าล้านปีแน่ะ"
บ๊อบ : "ถ้างั้นก็ดีเลย เรามานั่งคุยเรื่องนโยบายกันเลยดีไหม?"
การตอบกลับเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า บ๊อบได้กันตัวเองออกจากคำกล่าวหาที่ว่าเขาทำงานช้า
โดยเปลี่ยนเป็นหัวข้อการสนทนาให้หลุดจากตัวของเขา มาเป็นเรื่องของนโยบาย

33. เมื่อเพื่อนร่วมงานพยายามที่จะแย่งงานของคุณ
คุณจำเป็นจะต้องออกมาปกป้องสิทธิของคุณเอาไว้ ด้วยการพูดว่า ไม่
ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อศักดิ์ศรี แต่เพื่อความอยู่รอด ทางที่ดีคือพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
แต่ต้องทำให้ทั้งคุณและเขา เข้าใจถึงหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคนอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง
โดยคุณควรจะเข้าหาเพื่อนร่วมงานของคุณ เพื่ออธิบายถึงงานที่คาบเกี่ยวกันอยู่ ระหว่างคุณและเขา
และถ้าเป็นไปได้คุณทั้งสองควรร่วมกันแก้ไขปัญหากันเอง
โดยไม่ต้องดึงเอาผู้ที่มีตำแหน่งงานสูงกว่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ทางที่ดีเมื่อได้ข้อสรุปออกมาแล้ว ก็ควรจะทำบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐาน

34. ในขณะที่การแจ้งสาเหตุของการตอบปฏิเสธคือสิ่งที่ดีและมีเหตุผล
แต่ในบางครั้ง การพูด ไม่ เพียงคำเดียว ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เพราะการยุติการสนทนา ที่ยืดเยื้อจนอาจจะลุกลามกลายเป็นการโต้เถียงด้วยการ พูด ไม่
คือสิ่งที่ช่วยทำให้ทุกอย่างสงบลงได้
ยกตัวอย่างเช่น "ฟังนะ เฟร็ด คำตอบของผมคือไม่ ผมไม่อยากจะทำ"


ที่มา
http://www.yousaytoo.com/34/64273
http://www.thaigaming.com/e-book-shelf/54166.htm

11/28/2552

วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน


วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน
ขงจื๊อ เป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักการศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา
และที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดในแผ่นดินจีน

คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้นให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยะภาพ คือ
ทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควรจะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน
เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพ และเวลาที่มีจำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด


แก่นคำสอนของขงจื๊อ สรุปได้เป็น 7 หัวข้อ ดังนี้

1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้
มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน
และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป
คุณลักษณะ 7 ประการที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ

• นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป
• เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะ ใจคนได้โดยง่าย
• จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิกซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่า ผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคล ทั่วไป
• จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้
• ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้
• ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน
ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิตพัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์
• มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง


2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา
คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน
แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อย ๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง
โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ
และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้

• มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า
ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง
และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมดซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง
ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าข้างตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด
ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป

• อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่
แต่ให้เป็นกังวลมาก ๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณ สมบัติข้อใดที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน
และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า

จุดนี้คือขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง
ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ “ส่องนอก ไม่ส่องใน”
และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก

• เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วย
ขงจื๊อเห็นว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มจะ คิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอ ๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ
หลักการง่าย ๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้

• นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิด คิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง
นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก
ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล
ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่าย ๆ
ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน


3. ระเบียบวินัย ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่าง ๆ กัน
• วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ
• วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่างเพิ่งเฉยชาหรือพอ ใจกับอะไรง่าย ๆ
• วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานลดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด


4. การคบคน
ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย
ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้

• ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเรา
• ข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเรา
• ข้อสาม คนที่ควรคบหา คือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้
• ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อ
• ข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ


5. การพูด
คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความซื่อตรง สอดคล้องกับกริยาทางกาย
เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิดพร้อมกับกริยามุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ


6. การวางตัว คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้
• เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวราวกับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน

• เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่
(คนที่เป็นแม่งานจะต้องเห็นภาพงานทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรอบด้าน
และ มีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้
เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิดอย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา
จะไม่สั่งการแบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)

• อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น
• เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น


7. การวางจิต ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง
เขาเห็นว่าประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมีคุณธรรมมนุษย์
แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน
ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง
จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็น และรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน


ที่มา http://www.raidai.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1600
ภาพจาก http://www.motherandcare.in.th

ธรรมชาติของการนินทา


ธรรมชาติของการนินทา
ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวชีวิตของบุคคลอื่น เป็นความรู้สึกพื้นฐานรูปแบบหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนมี
คนบางคนกระหายที่จะรู้มาก แต่บางคนก็แทบจะไม่อยากรับรู้ข้อมูลอะไรเลย
เราคงสังเกตเห็นความต้องการลักษณะนี้ ในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับว่ามีเกร็ดข่าวคนดัง
ข่าวซุบซิบของนักการเมือง ดาราภาพยนตร์ แก่-หนุ่ม-สาวไฮโซ หรือนักกีฬา
และข่าวอะไรก็ตามของบุคคลดังกล่าวเหล่านี้ จะเป็นเรื่องฮอตที่คนหลายคนสนใจ
หรือเวลาเราไปงานสังสรรค์ เรามักจะเห็นคนร่วมงานพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แต่ถ้าเราเดินเข้าไปใกล้กลุ่มสนทนา เราก็คงจับความได้ว่า
บุคคลที่คนกลุ่มนั้นกำลังกล่าวขวัญถึงหาได้อยู่ ณ ที่นั้นไม่

นักจิตวิทยาได้สำรวจพบว่า ในวันหนึ่งๆ คนเราใช้เวลาประมาณ 30% ของเวลาสนทนาทั้งหมด พูดถึงบุคคลอื่น
และถ้าเป็นกรณีบุคคลที่ทำงานในบริษัท หรือหน่วยงานเดียวกัน 80% ของเวลาสนทนาจะเป็นการซุบซิบนินทา
และประมาณครึ่งหนึ่งของเรื่องที่พูด จะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สุขภาพ และการเงิน
อีก 30% เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพการทำงานหรือเรื่องปกปิด
เช่น ใครจะได้เลื่อนขั้นและใครจะได้ตำแหน่งอะไร เป็นต้น

และสำหรับเหตุผลที่คนเราชอบพูดเรื่องปกปิดนั้น นักจิตวิทยาได้พบว่า
คนที่พูดเรื่องลับส่วนใหญ่มักใช้ข้อมูลที่ตนรู้ ในการกวาดต้อนความสนใจจากผู้ฟัง
เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ


แต่ การซุบซิบก็มีด้านดีเหมือนกัน
F. Wilson แห่ง Chartered Institute of Personnel and Development ในอังกฤษได้พบว่า
เวลาบริษัทหรือหน่วยงานมีปัญหา หากเจ้าหน้าที่หรือพนักงานได้พูดถึงปัญหานอกเวลาทำงาน
ข้อมูลข่าวสารที่แลกเปลี่ยนกัน อาจทำให้ผู้บริหารระดับสูงรับรู้และนำไปแก้ไข ก่อนที่ปัญหาจะระเบิดได้
ซึ่งถ้าเป็นบริษัทที่มีการบริหารดี ปัญหาลักษณะนี้หรือการซุบซิบเช่นนี้จะไม่เกิด
เพราะลูกจ้างหรือพนักงานทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเปิดเผย
และเมื่อใดที่ผู้บริหารบริษัทไม่สนใจไยดี
ความรู้สึกหรือความเห็นของลูกจ้าง การซุบซิบนินทาก็จะแพร่ระบาดทันที
การไม่มีข้อมูล การไม่สื่อสารกันจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดการนินทาว่าร้ายในองค์กร

ตามปกติไม่มีใครชอบคนที่ชอบนินทา นายจ้างเองก็มักจะไม่ไว้ใจคนที่เป็นฆ้องปากแตก
และมักจะไม่เลื่อนตำแหน่งหรือขั้นให้
บริษัทในประเทศอังกฤษประมาณ 10% มีแถลงการณ์ห้ามลูกจ้างบริษัทนินทา
มีบริษัท 4% ที่ได้เคยไล่ลูกจ้างออกเพราะนินทาคนมากไป ซึ่งมีผลทำให้บรรยากาศทำงานของคนอื่นๆ เสีย

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเรา นิสัยนินทาเป็นพฤติกรรมลบที่ไม่ควรมี แล้วเหตุใด มนุษย์ทุกคนจึงกระทำ

ในการตอบคำถามนี้ นักจิตวิทยาได้ให้เหตุผลว่า
การนินทาเป็นพฤติกรรมจำเป็นรูปแบบหนึ่งของมนุษย์ ในการดำรงชีพในสังคม
เพราะเราต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลอื่นว่า เขาเป็นคนอย่างไร ร้ายหรือดี
การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่คนแต่ละคนรู้ จะทำให้เราทุกคนสามารถวางตัวหรือป้องกันตัวได้ดีขึ้น
และเมื่อถึงเวลาที่เราเผชิญ บุคคลที่คนอื่นเขานินทา เราก็จะรู้ดีว่าเราต้องเดินหมากอย่างไร

และข้อดีประการหนึ่งของการนินทาคือ
ทำให้คนหลายคนมิกล้าประพฤติชั่วหรือทำบาป เพราะกลัวถูกนินทานั่นเอง


N. Nicholson แห่ง London Business School ได้เคยรายงานบทบาทและความสำคัญของการนินทาในวารสาร
Psychology Today ฉบับเดือนพฤษภาคม/มิถุนายน พ.ศ. 2545 ว่า

ใน สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรในทุ่งหญ้า หรือป่าอย่างโดดเดี่ยวและแสวงหาอาหารไปวันๆ
การไม่มีภาษาพูด หรือภาษาเขียนสำหรับใช้ในการสื่อสารใดๆ ทำให้โลกยุคนั้น เงียบ ปราศจากการซุบซิบนินทา
แต่เมื่อมนุษย์เลิกวิถีชีวิตแบบร่อนเร่ และหันมารวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า มีภาษาและสนทนาค้าขายกัน
สมองมนุษย์ได้เริ่มมีวิวัฒนาการ เพื่อช่วยให้มนุษย์รู้ใจและเข้าใจบุคคลอื่น
ซึ่งความสามารถเช่นนี้เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันตัวของมนุษย์เอง
และความพยายามนี้ได้ผลักดันให้มนุษย์ระแวดระวังฐานะ และสภาพทางสังคมของตน ตลอดเวลา
และมนุษย์ก็ได้พบว่า ตราบใดที่ตนเข้าใจความซับซ้อนของโครงสร้างทางสังคมของตนดี
ตนก็จะประสบความสำเร็จสูงในชีวิต คือมีสุขภาพดี มีฐานะดี และมีความสุข แต่สังคมมนุษย์นั้นมีหลายมิติ
ดังนั้น มนุษย์จึงเปรียบเทียบตนกับบุคคลอื่นในมิติต่างๆ เช่น รูปร่าง นิสัย การศึกษา และฐานะ
แต่เมื่อมิติเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ดังนั้น มนุษย์จึงมีงานเปรียบเทียบที่ตนรู้สึกว่า ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อให้รู้สถานการณ์ของตนในสังคม สัมพัทธ์กับบุคคลอื่น โดยใช้การเล่าสู่กันฟังนั่นเอง

สำหรับเหตุผลที่ชักนำให้คนนินทานั้น Nicholson คิดว่า
เวลานาย ก. บอกนาย ข. เกี่ยวกับเรื่องของนาย ค. ที่นาย ข. เกลียดเข้าไส้ ถึงแม้ ค. จะไม่รู้อีโหน่อีเหน่
แต่การเล่าของ ก. ทำให้ ค. เสียหายเรียบร้อย ซึ่งการที่ ก. ทำเช่นนั้นก็เพื่อต้องการบอก ข. ว่า เขาและ ข. เป็นเพื่อนกัน
และ ข. เป็นฝ่ายเดียวกับเขา และในขณะเดียวกัน ก. ก็ต้องการบอก ข. ให้คิดว่า
เขามีความสำคัญที่ได้ล่วงรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับ ค. ที่ ข. ไม่รู้มาก่อน
เหตุการณ์นี้ ถ้ามองย้อนกลับ ข. ก็คงอดคิดไม่ได้ว่า ก. ก็อาจนำเรื่องของ ข. ไปบอกเล่าคนอื่นได้เช่นกัน

การวิจัยเรื่องการนินทาทำให้เรารู้ว่า คนที่จะกล่าวร้ายป้ายสีระดับชาติได้นั้น
ต้องมีความชำนาญและทักษะในการเล่ามาก
ลีลาบางคนอาจมีท่าทางประกอบ และในขณะที่ เผา คนอื่นไปนั้น บางครั้งก็ทำทีสงสารเขาไปด้วย
และคนที่ชอบนินทาคนอื่น มักคิดว่าตนเองมีจริยธรรมสูง อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

การสำรวจพฤติกรรมนินทายังแสดงให้เห็นอีกว่า ผู้หญิงและผู้ชายชอบนินทาพอๆ กัน
แต่คนทั่วไปมักคิดว่า ผู้หญิงชอบนินทามากกว่าผู้ชาย และนินทาได้สีสันยิ่งกว่า

ส่วนเนื้อหาที่คนชอบนินทานั้น
สำหรับผู้ชายก็ชอบพูดถึงข่าวการเมือง ข่าวกีฬา ความก้าวหน้าในการทำงาน ทั้งนี้เพราะผู้ชายชอบแข่งขัน
ส่วนผู้หญิงชอบนินทาบุคคลในสังคม และเรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม
เพราะผู้หญิงต้องการมิตรภาพ และไม่ต้องการคู่แข่งขัน

ส่วนคนที่ถูกนินทานั้นเล่า ก็มีข้อคิดหลายประการว่า ในเมื่อโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทา
ดังนั้น เวลาถูกใส่ร้าย คนหลายคนจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นไปตามรูปแบบที่คนอื่นๆ ต้องการ
เพื่อให้คนอื่นรักพอใจและให้คนอื่นเห็นเขาเป็นคนดีที่หนึ่งเลย
แต่ชีวิตของเขาก็จะน่าปวดหัว เพราะเขาต้องใช้ชีวิตตามที่คนอื่นบอกว่า เขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้

ดังนั้น ทางเลือกสำหรับเรื่องนี้ จึงมีว่าเราน่าจะมองตัวเราเองด้วยสายตาเราหรือสายตาคนอื่น
ถ้าเรามองตัวเองด้วยสายตาคนอื่น เพราะคนอื่นเห็นเราในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น
ถ้าขณะที่เขาเห็นเรา เรากำลังทำความดี เราคือเทพบุตร แต่ถ้าเรากำลังทำชั่ว เราคือนางมารร้าย
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า คำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับเราที่หลุดจากปากคนอื่น แสดงธาตุแท้ของเราน้อยมาก

ในเมื่อคนเราบางคนเวลาไม่ชอบใจใคร
ก็มักจะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ สร้างคำพูดหรือนินทาว่าร้าย จนคนที่ถูกพูดถึงรู้สึกเจ็บจนอยู่ไม่เป็นสุข
และนี่คือจุดมุ่งหมายสำคัญของการนินทา

ดังนั้น เราก็ควรรู้ว่า จะไม่มีใครทำร้ายจิตใจเราได้ ถ้าเราไม่ให้น้ำหนัก หรือความสำคัญในคำพูดของคนคนนั้น
เราเป็นเราที่ไม่มีใครเหมือน และเราไม่ต้องการจะเหมือนใคร
เพราะความพยายาม ที่จะให้ใครเป็นคนสมบูรณ์แบบในสายตาของคนทุกคนตลอดเวลานั้น เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น การนินทาเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งข้อดี
เพราะเราทุกคนก็รู้ดีว่า ถ้าไม่มีการนินทา (บ้าง) บรรยากาศการพูดคุยกันก็ไม่มันส์จริงไหมครับ


ที่มา http://www.ipst.ac.th/thaiversion/publications/in_sci/gossip.html
ภาพจาก http://desiringtobeagodlywoman.blogspot.com/2007_04_01_archive.html

ทุกข์ใจ ทำอย่างไร เมื่อเป็นหนี้


ทุกข์ใจ ทำอย่างไร เมื่อเป็นหนี้
ปัญหาการเป็นหนี้ หลายท่านคงจะประสบอยู่

ถึงแม้ว่าการเป็นหนี้ เราคงไม่นิยมชมชอบกับภาระเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไร
เมื่อปัญหาด้านปากท้องค่าใช้จ่ายเรื่องความเจ็บไข้ ที่เราทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน
และรวมไปถึงปัญหาหนี้จากการปลูกสร้างบ้าน การซื้อรถ
และการนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ก็ล้วนเป็นสิ่งจำเป็น

เมื่อเราเป็นหนี้เราก็คงจะทุกข์ใจอยู่ แต่คงจะพอเบาบางลงได้
เมื่อเรามีรายได้ที่จะสามารถผ่อนชำระหนี้สินดังกล่าวได้ แต่เมื่อเราอยู่ในสภาวะรายได้ลดลง หรือเท่าเดิม
แต่มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้น เราคงจะทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

เมื่อท่านประสบปัญหาเช่นนี้หรือมีญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงานมีปัญหาดังที่กล่าว
สิ่งที่เราจะช่วยแก้ไขได้ คงจะด้วยวิธีการให้กู้ยืมคงไม่ได้ คงจะช่วยเหลือได้โดยการให้ความห่วงใยด้วยคำพูด
คำแนะนำ ให้เพื่อน ญาติ คลายเครียดลงได้บ้าง ด้วยวิธีการดังนี้

ประการแรก
บอกเพื่อนหรือญาติว่า อย่ายอมให้ปัญหารุมล้อม โดยให้หันมาเผชิญหน้ากับความจริง มอง คิดหาทางออก
โดยหาสาเหตุของปัญหาดังกล่าว แล้วหาวิธีแก้ไขปัญหาหลาย ๆ วิธีเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
และไม่ใช่วิธีการทำให้ปัญหามีมากขึ้น หรือเดือดร้อนบุคคลอื่น

ประการที่สอง
คิดไม่ให้ตัวเราเครียด โดยยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ตำหนิตัวเราเองหรือคนอื่น
ไม่หวนคิดถึงอดีต หรือคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คิดถึงแต่สิ่งที่ดี ๆ ในปัจจุบัน
ไม่คิดว่าตัวเองหมดคุณค่าต่อตัวเองและครอบครัว
ให้เวลากับครอบครัวมากยิ่งขึ้น คิดถึงคนที่เรารักให้มากที่สุด

ประการที่สาม
เมื่อความเครียดเกิดขึ้น โดยที่เราควบคุมไม่ได้ เราก็ต้องผ่อนคลายเครียดลงโดยทำกิจกรรมที่เราชอบ
เช่น การชมโทรทัศน์ ฟังเพลง ออกกำลังกาย ดูภาพยนต์ เล่นดนตรี ทำงานอดิเรก
หรือหันมาทำจิตใจให้สงบด้วยการนั่งสมาธิ สวดมนต์
หรือหันมาใช้วิธีการคลายเครียด โดยการนวด ฝึกหายใจ เป็นต้น
หรือหาวิธีการใด ๆ ก็ได้ ที่เราคิดว่าเรารักตัวเองให้มากที่สุดมาปฏิบัติ

ประการที่สี่
อย่าเก็บความทุกข์ใจไว้คนเดียว ควรจะพบญาติ เพื่อนฝูงในการขอความช่วยเหลือ ระบายความทุกข์ที่ประสบอยู่
อาจเป็นคนที่เราไว้ใจใกล้ชิด เช่น คู่สมรส ญาติ หรือขอใช้บริการปรึกษาทางโทรศัพท์
เมื่อปัญหามากขึ้นไม่ควรอยู่ตามลำพังควรพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา


จาก ปัญหาหนี้สินและมองหาวิธีการแก้ไขปัญหาได้ โดยทำให้ความเครียดลดลงได้
เพื่อให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้โดยที่เป็นหนี้และมีวิธีการลดภาระหนี้ และอยู่ในสังคมได้อย่างไม่เครียด
เพราะถ้าเราตีตนไปก่อนไข้ หรือคาดการณ์สถานการณ์ไปในทางที่ไม่ดีแล้ว ก็จะเป็นการข่มขวัญตัวเราเอง
และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาโดยทางออกอย่างผิด ๆ เป็นการลงโทษตัวเองอย่างไม่เจตนา


โดย เศรษฐา ขุมทอง
ที่มา http://www.elib-online.com/doctors/mental_debt1.html
ภาพจาก http://www.ehow.com/how_4735865_relationship-break.html

กฎทองของความสุข


กฎทองของความสุข
นักการศึกษาชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ได้ค้นพบกฎทองข้อหนึ่งที่จะทำให้เรามีความสุขและเป็นคนดีได้
เขากล่าวว่า “ อย่าแปลกใจ ถ้าเห็นใครที่มีความรู้สึกไม่พอใจเมื่อถูกบอกให้เป็นคนดี
อันที่จริงแล้วความรู้สึกนี้อาจเกิดจากคนๆนั้นอาจไม่เข้าใจว่าคำว่า “เป็นคนดี” นั้นแท้จริงเป็นอย่างไรก็ได้”

เรามาดูว่า ความประพฤติดีคืออะไร

เราอาจจะไม่เข้าใจเลยกับความหมายว่า ความประพฤติดีคืออะไร
เพราะว่าบางทีในสังคม คนที่บอกให้เราประพฤติดี ทำดี
กลับทำในบางสิ่งที่ทำให้เราเกิดความกังขากับคำว่า “ประพฤติดี” เสียเอง
อย่างเช่น ในโรงเรียนครูสอนว่า การสูบบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดีเป็นการประพฤติตัวที่ไม่ดี
แต่ครูและผู้ปกครองหรือบุคคลที่เรานับถือกลับสูบบุหรี่เสียเอง
หรือเช่นคำพูดที่ว่า “เด็กๆควรอยู่เงียบๆ ไม่ควรออกความคิดเห็น”
นั่นคือหมายความว่า การเป็นคนดีประพฤติดี คือการไม่มีบทบาทอะไร

และอีกส่วนหนึ่งของการเป็นคนดี ในทุกยุคทุกสมัยและในเกือบทุกหนทุกแห่ง
มนุษย์ยกย่อง ค่านิยมบางอย่างที่เรียกว่า “คุณธรรม”
คุณสมบัติเหล่านี้เราได้ยกให้กับผู้มีปัญญา นักบวช นักบุญ และเทพเจ้าต่างๆ
สิ่งเหล่านี้แหล่ะที่ทำให้คนที่ป่าเถื่อนและคนมีวัฒนธรรมแตกต่างกัน
และขีดเส้นแบ่งระหว่างความจลาจลยุ่งเหยิงกับสังคมที่มีระเบียบวินัย

แต่มันมีทางที่จะทำให้ท่านสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนสมบูรณ์ได้
ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องมีคนอื่นมาบอกหรือต้องมีคำสอน
หรือต้องค้นคว้าอ่านจากตำราต่างๆ เล่มหนาๆจากคำสอนของนักปรัชญาเพื่อจะรู้ว่า “ความดี” คืออะไร

ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ลองคิดทบทวนดูว่า ท่านต้องการให้คนอื่นปฏิบัติกับท่านอย่างไร
แล้วท่านจะพบว่าอะไร คือคุณธรรมของมนุษย์
จงนึกว่าท่านต้องการให้เขาปฏิบัติแบบไหนกับท่าน
ก่อนอื่นท่านคงต้องการให้เขาปฏิบัติกับท่านอย่างเที่ยงตรง
ท่านคงไม่ต้องการให้เขาพูดไม่จริงเกี่ยวกับท่าน หรือประณามท่านอย่างรุนแรง ใช่หรือไม่

ท่านคงต้องการให้เพื่อนของท่านมีความซื่อสัตย์และไม่ทรยศ กล่าวร้าย ให้ร้ายท่าน
ท่านต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อท่าน อย่างมี “น้ำใจเป็นนักกีฬา”
ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือการตบตาหลอกลวงท่าน
ท่านต้องการให้คนอื่นมีความยุติธรรมต่อท่านในเรื่องใ ดๆที่ต้องเกี่ยวข้องกัน

ท่านต้องการให้คนอื่นซื่อสัตย์ไม่คดโกงท่านใช่ไหม
ท่านต้องการให้คนอื่นมีเมตตากรุณาไม่โหดร้ายต่อท่านหรือไม่
เมื่อท่านรู้สึกหดหู่ใจ ท้อถอยในบางครั้ง ท่านอยากให้คนอื่นเห็นใจท่าน ปลอบใจท่าน แทนการว่าอย่างรุนแรง
ท่านอยากให้เขาสงบสติอารมณ์และควบคุมตัวเองได้ ใช่หรือไม่

ถ้าท่านมีข้อตำหนิหรือข้อบกพร่อง ถ้าท่านทำความผิด ท่านคงอยากให้คนอื่นอดทนและเห็นใจ
ไม่ติเตียนและวิพากย์วิจารณ์ แทนที่จะมุ่งจับผิดและทำโทษ ท่านคงอยากให้เขายกโทษให้มากกว่าใช่ไหม

ท่านอยากให้คนอื่นใจดีกับท่าน มีความกรุณาปราณีและไม่ตระหนี่ขี้เหนียวกับท่านหรือไ ม่
ท่านคงชอบให้ผู้อื่นเคารพในตัวท่าน มากกว่าการว่าท่าน
ท่านคงชื่นชอบให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวท่าน มากกว่าระแวงท่านอย่างแน่นอน

ท่านต้องการให้ผู้อื่นสุภาพต่อท่าน และปฏิบัติอย่างให้เกียรติท่านหรือเปล่า
ท่านอยากให้ผู้อื่นนิยมชมในตัวท่าน
และเมื่อท่านทำความดีกับผู้อื่น ท่านคงอยากให้คนอื่นเห็นว่าท่านเป็นคนดี จริงไหม
ท่านคงอยากให้คนอื่นเป็นกันเองกับท่าน และในบางครั้งท่านก็ต้องการความรักจากผู้อื่นด้วยใช่ หรือไม่

และโดยเฉพาะแล้วท่านคงไม่อยากให้ใครมาเสแสร้ง แสดงความรู้สึกหรือกระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้กับท่าน
ท่านคงต้องการให้เขาแสดงออกมาจากความจริงใจ
ด้วยความภาคภูมิใจในการกระทำของเขาเอง และนอกจากนี้ยังมีข้อพึงปฏิบัติ อีกหลายอย่างที่ท่านคงจะนึกได้

ทั้งหมดนี้ คงจะทำให้ท่านสามารถสรุปได้ว่า “กฎทอง” หรือการกระทำอันดีงามมีศีลธรรมคืออะไรบ้าง

ท่านไม่จำเป็นต้องจินตนาการมากมาย
เพียงแต่ใช้ความรู้สึกท่านเองว่า ถ้ามีผู้ปฏิบัติต่อท่านอย่างที่ท่านกล่าวมานั้น ท่านจะรู้สึกอย่างไร
ชีวิตท่านคงจะมีความสุขทีเดียว
และท่านคงไม่มีเรื่องที่จะคิดร้ายกับคนที่ปฏิบัติกับ เราเช่นนี้อย่างแน่นอน

เมื่อท่านตัดสินใจได้ด้วยตนเองได้แล้วว่า คุณความดีของมนุษย์คืออะไร
โดยนึกดูว่าท่านอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติกับท่านอย่างไร
เมื่อนั้นท่านจะเลิกสงสัยว่า การปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นคืออะไร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำความดี ไม่ได้หมายความว่า เป็นการอยู่นิ่งๆแบบไม่พูดหรือไม่ทำอะไรปล่อยไปเรื่อยๆ
“การเป็นคนดี” เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และสำคัญทีเดียว
มันไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย ถ้าคนเราต้องอยู่คนเดียวและเงียบเหงามืดมน
การทำความดีไม่ใช่แบบนี้ การทำความดีเป็นเรื่องที่สนุกสนานร่าเริง
ความสนุกที่มาจากหัวใจที่บริสุทธิ์
คนที่ปราศจากศีลธรรม จะมีชีวิตที่เศร้าหมองเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน
คุณงามความดีไม่เกี่ยวข้องกับความเศร้าหมอง
ตรงกับข้ามมันเกี่ยวข้องกับความสนุกสนานร่าเริงของชีวิต

ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านปฏิบัติต่อคนรอบข้างอย่างยุติธรรม ซื่อสัตย์ มีความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา
ความเป็นกลาง ความซื่อตรง ความเมตตา ความเห็นใจ ความปราณี
ความมีสติ ความอดทน และให้อภัย ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ความเคารพ ความสุภาพ ความภาคภูมิ ความชื่นชม ความเป็นกันเองความรัก
และท่านให้สิ่งเหล่านี้กับคนอื่นด้วยความภูมิใจ ความเต็มใจ
มันอาจจะใช้เวลาหน่อย แล้วคนอื่นจะค่อยๆทำตามท่านในขณะเดียวกัน
ชีวิตท่านและผู้อื่นก็จะถูกยกระดับขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ความสามารถที่จะอยู่รอดในสังคมของเราและคนอื่นก็จะดี ขึ้น
แน่นอนชีวิตของเราก็จะมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของความมีมนุยษยสัมพันธ์ที่ดี

ก้อนหินก้อนหนึ่งที่ถูกโยนลงบนสระน้ำ สามารถทำให้เป็นระลอกจนถึงฝั่งอันไกลได้
ชีวิตคนเราก็จะมีความสุขร่วมกันได้เช่นกัน ถ้าท่านนำข้อพึงปฏิบัตินี้มาใช้

“ พยายามปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกับเราต้องการให้เขาปฏิบัติกับเรา”

นักการศึกษาชาวอเมริกัน


ที่มา http://samathi.com/meditation/showthread.php?t=674
ภาพจาก http://www.allabout-energy.com

เคล็ดลับในการสร้างพลังความจำ


เคล็ดลับในการสร้างพลังความจำ
ความสามารถในการจำของมนุษย์ มีความพิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ
ความจำ เป็นสิ่งวิเศษที่เราสามารถเรียกคืนประสบการณ์เก่าๆ กลับมาอีกครั้ง

หากไม่มีความจำ เราคงลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต
และเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่เหมือนเด็กอ่อนที่เพิ่งเกิดทุกวัน
คล้าย ๆ กับคนแก่ที่ความจำเลอะเลือน กลับกลายเป็นเหมือนเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้

เพราะความจดจำได้ เราจึงเรียนรู้ได้ โดยเอาสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมาวิเคราะห์และปรับปรุง
เราสามารถเรียกคืนความจำเก่า ๆ จากจิตใต้สำนึกเมื่อเราต้องการ
และจากความรู้อันนี้ทำให้เรา สามารถทำงานบางอย่างที่เราได้เรียนมาอย่างช่ำชอง
หรือหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีได้

จิตใต้สำนึกของเรา บันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพราะทุกวันที่เราตื่นนอน เราจำได้ว่าเมื่อคืนเรานอนหลับดีหรือไม่

ความจำ เป็นสิ่งไม่ตาย แต่สถิตถาวรภายใต้จิตสำนึก
หากเรามีการฝึกฝนที่ดี เราสามารถเรียกความจำเก่าๆ ในชีวิตปัจจุบัน และแม้แต่ในอดีตชาติก่อนๆ กลับมาได้

ความจำของเราถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือความจำชั่วคราว และความจำถาวร
ความจำชั่วคราวของเรา จำได้ไกลเพียงแค่ในชีวิตปัจจุบัน
ส่วนความจำถาวร บันทึกทุกสิ่งที่เกิดกับจิตวิญญานของเราในทุกภพทุกชาติ

บางคนสามารถจำได้แค่เหตุการณ์ในชีวิตนี้ แต่บางคนจำได้ทั้งไกลถึงอดีตชาติ
แต่บางคนจำไม่ได้แม้เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่วัน

คุณภาพของการจำ แตกต่างกันไป แล้วแต่คุณภาพของสมองแต่ละคน
การศึกษา การฝึกสมาธิ และการฝึกฝนความจำในแบบต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจำได้
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ต้องเป็นคนที่มีความจำที่ดี


การบริหารร่างกายเพิ่มความจำ
ท่าการบริหารร่างกายที่เหมาะสม เช่น การฝึกโยคะ การรำมวยจีน การเดินจงกรม สามารถพัฒนาความจำได้
ในปัจจุบัน เครื่องจักรเข้าทดแทนทุกส่วนของการใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน
ทำให้คนเราเกิดความเกียจคร้านในการการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
จึงทำให้บางคนคิดค้นหาอุปกรณ์ออกกำลังภายในบ้านขึ้น เพื่อการบริหารร่างกาย

แต่เราควรให้มีสติกำกับการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่ก้มงอตัวไปมา
เพราะการที่มีสติและสมาธิในการเคลื่อนไหวในทุกอริยาบท
ทำให้เราสามารถควบคุมและส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆของ อวัยวะในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
เช่นเดียวกับการฝึกกังฟูของจีน


อาหารที่เพิ่มพลังความจำ
อาหารบางชนิดบำรุงสมอง บางชนิดบำรุงกล้ามเนื้อ บางชนิดบำรุงประสาท
และแต่ละชนิดบำรุงแต่ละส่วนของอวัยวะ หากเราต้องการเพิ่มพลังสมอง เราก็ต้องทานอาหารที่บำรุงสมอง
โดยเฉพาะโปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงสมอง เมล็ดอัลมอลด์นำมาบดผสมกับน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม
และดื่มก่อนนอนทุกคืนจะช่วยให้ความจำดีขึ้น การดื่มนม และกินเนยแข็ง (Cheese) จึงเพิ่มพลังสมอง

เมื่อใดคุณมีความกังวล อ่อนล้า ลองดื่มน้ำมะนาวสัก 1-2 แก้ว เอาน้ำเย็นลูบหัว
แล้วนำมาแตะกระหม่อม คิ้ว จมูก และหู จะทำให้เส้นประสาทสงบลง และทำให้ความจำดีขึ้นทันที

หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะมันจะไปตกตะกอนเป็นคอเลสเตอร์รอล ตามผนังเส้นเลือดแดง

ผู้ถือศีลสมาธิบางท่านที่เคร่งครัดมักจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ
เพราะเชื่อว่าเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อหมูและเนื้อวัว ทำลายสุขภาพ เพราะมีกรดยูริคสูง ทั้งหมูและวัวมีความจำที่ต่ำ
เมื่อเรากินเนื้อของสัตว์เหล่านี้ มันจะนำไปสร้างร่างกายและจิตของเราตามลักษณะของสัตว์เหล่านี้ด้วย


การฝึกบริหารความจำ
ความจำที่ดีเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน คนที่มีร่างกายที่ไม่แข็งแรงก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
ชีวิตเราไม่ว่าด้านใดๆก็สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ถ้าเรามีความพยายาม
แม้ความผิดปรกติของร่างกายทางกรรมพันธุ์ก็มีการพิสูจน์กันแล้วว่า สามารถแก้ได้ด้วยการฝึกสมาธิ

คนส่วนมากไม่รู้จักการฝึกสมาธิ ทำให้ความสามารถของสมองที่แฝงเร้นอยู่ ไม่ถูกนำมาใช้ และ
หากเราขาดการพัฒนาทางจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ นานเข้าก็นำไปสู่ความเสียหายทางสมองและจิตได้
เพราะสมองเหมือนเช่นส่วนอื่นของร่างกาย ต้องการออกกำลัง บริหารอยู่เสมอ เพื่อคงให้อยู่ในสภาพที่ดี

การพัฒนาความจำไม่เพียงแต่เราต้องกินอาหารที่บำรุงสุขภาพแล้ว เรายังต้องฝึกจิต
พยายามใช้ความจำ ฝึกการจำ เช่นมองภาพใดภาพหนึ่ง อาจเป็นภาพพุทธรูป หรือแม้แต่จะเป็นภาพวิวธรรมดาก็ได้
แล้วลองหลับตานึกภาพนั้นในใจ
พยายามนึกถึงเพลงหรือบทสวดมนต์ แล้วร้องในใจ หรือสวดในใจเพื่อพัฒนาความจำ

สิ่งที่ทำด้วยอารมณ์ ก็สามารถพัฒนาจิตใจ
เพราะทุกคนจำเหตุการณ์ในชีวิตตอนที่ดีใจที่สุด และเสียใจที่สุดได้เสมอ

เนื่องจากความรู้สึกตั้งอยู่ในส่วนลึกของความจำ
ฉะนั้น การแต่งโคลงกลอน หรือแม้แต่การฝึกบวกเลข ลบเลขในใจ
ก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับพัฒนาความจำ และส่งเสริมสมาธิ


การฝึกสมาธิเสริมสร้างความจำ
การเพิ่มพลังความจำ เราต้องทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจมั่น คนส่วนมากทำทุกอย่างแบบไร้สติ
การกระทำและความคิด จึงมีช่องว่างที่ไม่เชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเหตุให้คนส่วนมากจำอะไรได้ไม่ได้ดี
เราควรทำกิจการงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำงานก็ทำด้วยความตั้งใจ เรียนก็ฟังครูสอนด้วยความตั้งใจ
จะเล่นกีฬาก็เล่นด้วยความตั้งใจ เมื่อฝึกสมาธิก็ไม่ทิ้งคำบริกรรม

สมาธิคือการตั้งใจมั่น มั่นในการกิน เดิน นอน นั่ง คด คู้ เหยียด ทุกอริยาบท
ความจำได้หมายรู้มีไว้ให้เราระลึกถึงความดีที่เราเคย ก่อ ที่เราเคยสร้าง

การฟื้นความจำที่เราเคยเกลียดใคร โกรธใคร อาฆาตใคร
เป็นการใช้ความจำในทางที่ไม่ถูกต้อง และยัง ก่อให้เกิดโทษ ตรงกันข้ามเราควรฟื้นความจำ ในแต่สิ่งที่ดี

แต่บางครั้งการจำเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ที่เราเคยทำผิดพลาดไป แล้วนำประสบการณ์นั้นมาปรับปรุงแก้ไข
ย่อมเป็นการใช้ความจำในทางที่ถูกต้อง แต่อย่าจมปรักอยู่ความความผิดหวังในในอดีตซึ่งทำให้เราไม่ก้าวหน้า
ไม่ควรฟื้นความจำที่ไม่ดีเหล่านั้นจะดีที่สุด หากนึกขึ้นได้เราเพียงแต่หยุดคิดถึงมัน

จงฝึกคิดแต่สิ่งที่ดี และคุณความดีที่เราทำ
เพราะความจำสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เป็นพลังงานสุดท้ายที่ขับเคลื่อนเราไปสู่ภพใหม่
และการระลึกได้ในความดีที่เราทำในขณะนั้นเท่านั้น จึงจะนำเราไปสู่สุขคติภูมิ


ที่มา
http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=888
http://board.agalico.com/showthread.php?t=4467

ภาพจาก http://www.123rf.com/photo_331966.html