สารัญ Creditbank Credit card bank

123

11/28/2552

วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน


วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน
ขงจื๊อ เป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักการศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา
และที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดในแผ่นดินจีน

คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้นให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยะภาพ คือ
ทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควรจะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน
เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพ และเวลาที่มีจำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด


แก่นคำสอนของขงจื๊อ สรุปได้เป็น 7 หัวข้อ ดังนี้

1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้
มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน
และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป
คุณลักษณะ 7 ประการที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ

• นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป
• เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะ ใจคนได้โดยง่าย
• จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิกซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่า ผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคล ทั่วไป
• จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้
• ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้
• ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน
ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิตพัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์
• มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง


2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา
คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน
แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อย ๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง
โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ
และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้

• มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า
ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง
และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมดซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง
ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าข้างตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด
ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป

• อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่
แต่ให้เป็นกังวลมาก ๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณ สมบัติข้อใดที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน
และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า

จุดนี้คือขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง
ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ “ส่องนอก ไม่ส่องใน”
และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก

• เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วย
ขงจื๊อเห็นว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มจะ คิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอ ๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ
หลักการง่าย ๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้

• นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิด คิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง
นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก
ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล
ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่าย ๆ
ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน


3. ระเบียบวินัย ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่าง ๆ กัน
• วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ
• วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่างเพิ่งเฉยชาหรือพอ ใจกับอะไรง่าย ๆ
• วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานลดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด


4. การคบคน
ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย
ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้

• ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเรา
• ข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเรา
• ข้อสาม คนที่ควรคบหา คือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้
• ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อ
• ข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ


5. การพูด
คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความซื่อตรง สอดคล้องกับกริยาทางกาย
เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิดพร้อมกับกริยามุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ


6. การวางตัว คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้
• เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวราวกับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน

• เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่
(คนที่เป็นแม่งานจะต้องเห็นภาพงานทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรอบด้าน
และ มีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้
เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิดอย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา
จะไม่สั่งการแบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)

• อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น
• เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น


7. การวางจิต ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง
เขาเห็นว่าประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมีคุณธรรมมนุษย์
แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน
ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง
จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็น และรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน


ที่มา http://www.raidai.com/modules.php?name=News&file=article&sid=1600
ภาพจาก http://www.motherandcare.in.th

ธรรมชาติของการนินทา


ธรรมชาติของการนินทา
ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวชีวิตของบุคคลอื่น เป็นความรู้สึกพื้นฐานรูปแบบหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนมี
คนบางคนกระหายที่จะรู้มาก แต่บางคนก็แทบจะไม่อยากรับรู้ข้อมูลอะไรเลย
เราคงสังเกตเห็นความต้องการลักษณะนี้ ในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับว่ามีเกร็ดข่าวคนดัง
ข่าวซุบซิบของนักการเมือง ดาราภาพยนตร์ แก่-หนุ่ม-สาวไฮโซ หรือนักกีฬา
และข่าวอะไรก็ตามของบุคคลดังกล่าวเหล่านี้ จะเป็นเรื่องฮอตที่คนหลายคนสนใจ
หรือเวลาเราไปงานสังสรรค์ เรามักจะเห็นคนร่วมงานพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แต่ถ้าเราเดินเข้าไปใกล้กลุ่มสนทนา เราก็คงจับความได้ว่า
บุคคลที่คนกลุ่มนั้นกำลังกล่าวขวัญถึงหาได้อยู่ ณ ที่นั้นไม่

นักจิตวิทยาได้สำรวจพบว่า ในวันหนึ่งๆ คนเราใช้เวลาประมาณ 30% ของเวลาสนทนาทั้งหมด พูดถึงบุคคลอื่น
และถ้าเป็นกรณีบุคคลที่ทำงานในบริษัท หรือหน่วยงานเดียวกัน 80% ของเวลาสนทนาจะเป็นการซุบซิบนินทา
และประมาณครึ่งหนึ่งของเรื่องที่พูด จะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สุขภาพ และการเงิน
อีก 30% เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสภาพการทำงานหรือเรื่องปกปิด
เช่น ใครจะได้เลื่อนขั้นและใครจะได้ตำแหน่งอะไร เป็นต้น

และสำหรับเหตุผลที่คนเราชอบพูดเรื่องปกปิดนั้น นักจิตวิทยาได้พบว่า
คนที่พูดเรื่องลับส่วนใหญ่มักใช้ข้อมูลที่ตนรู้ ในการกวาดต้อนความสนใจจากผู้ฟัง
เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ


แต่ การซุบซิบก็มีด้านดีเหมือนกัน
F. Wilson แห่ง Chartered Institute of Personnel and Development ในอังกฤษได้พบว่า
เวลาบริษัทหรือหน่วยงานมีปัญหา หากเจ้าหน้าที่หรือพนักงานได้พูดถึงปัญหานอกเวลาทำงาน
ข้อมูลข่าวสารที่แลกเปลี่ยนกัน อาจทำให้ผู้บริหารระดับสูงรับรู้และนำไปแก้ไข ก่อนที่ปัญหาจะระเบิดได้
ซึ่งถ้าเป็นบริษัทที่มีการบริหารดี ปัญหาลักษณะนี้หรือการซุบซิบเช่นนี้จะไม่เกิด
เพราะลูกจ้างหรือพนักงานทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเปิดเผย
และเมื่อใดที่ผู้บริหารบริษัทไม่สนใจไยดี
ความรู้สึกหรือความเห็นของลูกจ้าง การซุบซิบนินทาก็จะแพร่ระบาดทันที
การไม่มีข้อมูล การไม่สื่อสารกันจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดการนินทาว่าร้ายในองค์กร

ตามปกติไม่มีใครชอบคนที่ชอบนินทา นายจ้างเองก็มักจะไม่ไว้ใจคนที่เป็นฆ้องปากแตก
และมักจะไม่เลื่อนตำแหน่งหรือขั้นให้
บริษัทในประเทศอังกฤษประมาณ 10% มีแถลงการณ์ห้ามลูกจ้างบริษัทนินทา
มีบริษัท 4% ที่ได้เคยไล่ลูกจ้างออกเพราะนินทาคนมากไป ซึ่งมีผลทำให้บรรยากาศทำงานของคนอื่นๆ เสีย

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจเรา นิสัยนินทาเป็นพฤติกรรมลบที่ไม่ควรมี แล้วเหตุใด มนุษย์ทุกคนจึงกระทำ

ในการตอบคำถามนี้ นักจิตวิทยาได้ให้เหตุผลว่า
การนินทาเป็นพฤติกรรมจำเป็นรูปแบบหนึ่งของมนุษย์ ในการดำรงชีพในสังคม
เพราะเราต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลอื่นว่า เขาเป็นคนอย่างไร ร้ายหรือดี
การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่คนแต่ละคนรู้ จะทำให้เราทุกคนสามารถวางตัวหรือป้องกันตัวได้ดีขึ้น
และเมื่อถึงเวลาที่เราเผชิญ บุคคลที่คนอื่นเขานินทา เราก็จะรู้ดีว่าเราต้องเดินหมากอย่างไร

และข้อดีประการหนึ่งของการนินทาคือ
ทำให้คนหลายคนมิกล้าประพฤติชั่วหรือทำบาป เพราะกลัวถูกนินทานั่นเอง


N. Nicholson แห่ง London Business School ได้เคยรายงานบทบาทและความสำคัญของการนินทาในวารสาร
Psychology Today ฉบับเดือนพฤษภาคม/มิถุนายน พ.ศ. 2545 ว่า

ใน สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรในทุ่งหญ้า หรือป่าอย่างโดดเดี่ยวและแสวงหาอาหารไปวันๆ
การไม่มีภาษาพูด หรือภาษาเขียนสำหรับใช้ในการสื่อสารใดๆ ทำให้โลกยุคนั้น เงียบ ปราศจากการซุบซิบนินทา
แต่เมื่อมนุษย์เลิกวิถีชีวิตแบบร่อนเร่ และหันมารวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า มีภาษาและสนทนาค้าขายกัน
สมองมนุษย์ได้เริ่มมีวิวัฒนาการ เพื่อช่วยให้มนุษย์รู้ใจและเข้าใจบุคคลอื่น
ซึ่งความสามารถเช่นนี้เป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการป้องกันตัวของมนุษย์เอง
และความพยายามนี้ได้ผลักดันให้มนุษย์ระแวดระวังฐานะ และสภาพทางสังคมของตน ตลอดเวลา
และมนุษย์ก็ได้พบว่า ตราบใดที่ตนเข้าใจความซับซ้อนของโครงสร้างทางสังคมของตนดี
ตนก็จะประสบความสำเร็จสูงในชีวิต คือมีสุขภาพดี มีฐานะดี และมีความสุข แต่สังคมมนุษย์นั้นมีหลายมิติ
ดังนั้น มนุษย์จึงเปรียบเทียบตนกับบุคคลอื่นในมิติต่างๆ เช่น รูปร่าง นิสัย การศึกษา และฐานะ
แต่เมื่อมิติเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ดังนั้น มนุษย์จึงมีงานเปรียบเทียบที่ตนรู้สึกว่า ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพื่อให้รู้สถานการณ์ของตนในสังคม สัมพัทธ์กับบุคคลอื่น โดยใช้การเล่าสู่กันฟังนั่นเอง

สำหรับเหตุผลที่ชักนำให้คนนินทานั้น Nicholson คิดว่า
เวลานาย ก. บอกนาย ข. เกี่ยวกับเรื่องของนาย ค. ที่นาย ข. เกลียดเข้าไส้ ถึงแม้ ค. จะไม่รู้อีโหน่อีเหน่
แต่การเล่าของ ก. ทำให้ ค. เสียหายเรียบร้อย ซึ่งการที่ ก. ทำเช่นนั้นก็เพื่อต้องการบอก ข. ว่า เขาและ ข. เป็นเพื่อนกัน
และ ข. เป็นฝ่ายเดียวกับเขา และในขณะเดียวกัน ก. ก็ต้องการบอก ข. ให้คิดว่า
เขามีความสำคัญที่ได้ล่วงรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับ ค. ที่ ข. ไม่รู้มาก่อน
เหตุการณ์นี้ ถ้ามองย้อนกลับ ข. ก็คงอดคิดไม่ได้ว่า ก. ก็อาจนำเรื่องของ ข. ไปบอกเล่าคนอื่นได้เช่นกัน

การวิจัยเรื่องการนินทาทำให้เรารู้ว่า คนที่จะกล่าวร้ายป้ายสีระดับชาติได้นั้น
ต้องมีความชำนาญและทักษะในการเล่ามาก
ลีลาบางคนอาจมีท่าทางประกอบ และในขณะที่ เผา คนอื่นไปนั้น บางครั้งก็ทำทีสงสารเขาไปด้วย
และคนที่ชอบนินทาคนอื่น มักคิดว่าตนเองมีจริยธรรมสูง อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

การสำรวจพฤติกรรมนินทายังแสดงให้เห็นอีกว่า ผู้หญิงและผู้ชายชอบนินทาพอๆ กัน
แต่คนทั่วไปมักคิดว่า ผู้หญิงชอบนินทามากกว่าผู้ชาย และนินทาได้สีสันยิ่งกว่า

ส่วนเนื้อหาที่คนชอบนินทานั้น
สำหรับผู้ชายก็ชอบพูดถึงข่าวการเมือง ข่าวกีฬา ความก้าวหน้าในการทำงาน ทั้งนี้เพราะผู้ชายชอบแข่งขัน
ส่วนผู้หญิงชอบนินทาบุคคลในสังคม และเรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม
เพราะผู้หญิงต้องการมิตรภาพ และไม่ต้องการคู่แข่งขัน

ส่วนคนที่ถูกนินทานั้นเล่า ก็มีข้อคิดหลายประการว่า ในเมื่อโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทา
ดังนั้น เวลาถูกใส่ร้าย คนหลายคนจึงพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นไปตามรูปแบบที่คนอื่นๆ ต้องการ
เพื่อให้คนอื่นรักพอใจและให้คนอื่นเห็นเขาเป็นคนดีที่หนึ่งเลย
แต่ชีวิตของเขาก็จะน่าปวดหัว เพราะเขาต้องใช้ชีวิตตามที่คนอื่นบอกว่า เขาต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้

ดังนั้น ทางเลือกสำหรับเรื่องนี้ จึงมีว่าเราน่าจะมองตัวเราเองด้วยสายตาเราหรือสายตาคนอื่น
ถ้าเรามองตัวเองด้วยสายตาคนอื่น เพราะคนอื่นเห็นเราในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น
ถ้าขณะที่เขาเห็นเรา เรากำลังทำความดี เราคือเทพบุตร แต่ถ้าเรากำลังทำชั่ว เราคือนางมารร้าย
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า คำกล่าวต่างๆ เกี่ยวกับเราที่หลุดจากปากคนอื่น แสดงธาตุแท้ของเราน้อยมาก

ในเมื่อคนเราบางคนเวลาไม่ชอบใจใคร
ก็มักจะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ สร้างคำพูดหรือนินทาว่าร้าย จนคนที่ถูกพูดถึงรู้สึกเจ็บจนอยู่ไม่เป็นสุข
และนี่คือจุดมุ่งหมายสำคัญของการนินทา

ดังนั้น เราก็ควรรู้ว่า จะไม่มีใครทำร้ายจิตใจเราได้ ถ้าเราไม่ให้น้ำหนัก หรือความสำคัญในคำพูดของคนคนนั้น
เราเป็นเราที่ไม่มีใครเหมือน และเราไม่ต้องการจะเหมือนใคร
เพราะความพยายาม ที่จะให้ใครเป็นคนสมบูรณ์แบบในสายตาของคนทุกคนตลอดเวลานั้น เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น การนินทาเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งข้อดี
เพราะเราทุกคนก็รู้ดีว่า ถ้าไม่มีการนินทา (บ้าง) บรรยากาศการพูดคุยกันก็ไม่มันส์จริงไหมครับ


ที่มา http://www.ipst.ac.th/thaiversion/publications/in_sci/gossip.html
ภาพจาก http://desiringtobeagodlywoman.blogspot.com/2007_04_01_archive.html

ทุกข์ใจ ทำอย่างไร เมื่อเป็นหนี้


ทุกข์ใจ ทำอย่างไร เมื่อเป็นหนี้
ปัญหาการเป็นหนี้ หลายท่านคงจะประสบอยู่

ถึงแม้ว่าการเป็นหนี้ เราคงไม่นิยมชมชอบกับภาระเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไร
เมื่อปัญหาด้านปากท้องค่าใช้จ่ายเรื่องความเจ็บไข้ ที่เราทุกคนไม่คาดคิดมาก่อน
และรวมไปถึงปัญหาหนี้จากการปลูกสร้างบ้าน การซื้อรถ
และการนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ก็ล้วนเป็นสิ่งจำเป็น

เมื่อเราเป็นหนี้เราก็คงจะทุกข์ใจอยู่ แต่คงจะพอเบาบางลงได้
เมื่อเรามีรายได้ที่จะสามารถผ่อนชำระหนี้สินดังกล่าวได้ แต่เมื่อเราอยู่ในสภาวะรายได้ลดลง หรือเท่าเดิม
แต่มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มขึ้น เราคงจะทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

เมื่อท่านประสบปัญหาเช่นนี้หรือมีญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงานมีปัญหาดังที่กล่าว
สิ่งที่เราจะช่วยแก้ไขได้ คงจะด้วยวิธีการให้กู้ยืมคงไม่ได้ คงจะช่วยเหลือได้โดยการให้ความห่วงใยด้วยคำพูด
คำแนะนำ ให้เพื่อน ญาติ คลายเครียดลงได้บ้าง ด้วยวิธีการดังนี้

ประการแรก
บอกเพื่อนหรือญาติว่า อย่ายอมให้ปัญหารุมล้อม โดยให้หันมาเผชิญหน้ากับความจริง มอง คิดหาทางออก
โดยหาสาเหตุของปัญหาดังกล่าว แล้วหาวิธีแก้ไขปัญหาหลาย ๆ วิธีเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
และไม่ใช่วิธีการทำให้ปัญหามีมากขึ้น หรือเดือดร้อนบุคคลอื่น

ประการที่สอง
คิดไม่ให้ตัวเราเครียด โดยยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ตำหนิตัวเราเองหรือคนอื่น
ไม่หวนคิดถึงอดีต หรือคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง คิดถึงแต่สิ่งที่ดี ๆ ในปัจจุบัน
ไม่คิดว่าตัวเองหมดคุณค่าต่อตัวเองและครอบครัว
ให้เวลากับครอบครัวมากยิ่งขึ้น คิดถึงคนที่เรารักให้มากที่สุด

ประการที่สาม
เมื่อความเครียดเกิดขึ้น โดยที่เราควบคุมไม่ได้ เราก็ต้องผ่อนคลายเครียดลงโดยทำกิจกรรมที่เราชอบ
เช่น การชมโทรทัศน์ ฟังเพลง ออกกำลังกาย ดูภาพยนต์ เล่นดนตรี ทำงานอดิเรก
หรือหันมาทำจิตใจให้สงบด้วยการนั่งสมาธิ สวดมนต์
หรือหันมาใช้วิธีการคลายเครียด โดยการนวด ฝึกหายใจ เป็นต้น
หรือหาวิธีการใด ๆ ก็ได้ ที่เราคิดว่าเรารักตัวเองให้มากที่สุดมาปฏิบัติ

ประการที่สี่
อย่าเก็บความทุกข์ใจไว้คนเดียว ควรจะพบญาติ เพื่อนฝูงในการขอความช่วยเหลือ ระบายความทุกข์ที่ประสบอยู่
อาจเป็นคนที่เราไว้ใจใกล้ชิด เช่น คู่สมรส ญาติ หรือขอใช้บริการปรึกษาทางโทรศัพท์
เมื่อปัญหามากขึ้นไม่ควรอยู่ตามลำพังควรพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา


จาก ปัญหาหนี้สินและมองหาวิธีการแก้ไขปัญหาได้ โดยทำให้ความเครียดลดลงได้
เพื่อให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้โดยที่เป็นหนี้และมีวิธีการลดภาระหนี้ และอยู่ในสังคมได้อย่างไม่เครียด
เพราะถ้าเราตีตนไปก่อนไข้ หรือคาดการณ์สถานการณ์ไปในทางที่ไม่ดีแล้ว ก็จะเป็นการข่มขวัญตัวเราเอง
และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาโดยทางออกอย่างผิด ๆ เป็นการลงโทษตัวเองอย่างไม่เจตนา


โดย เศรษฐา ขุมทอง
ที่มา http://www.elib-online.com/doctors/mental_debt1.html
ภาพจาก http://www.ehow.com/how_4735865_relationship-break.html

กฎทองของความสุข


กฎทองของความสุข
นักการศึกษาชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ได้ค้นพบกฎทองข้อหนึ่งที่จะทำให้เรามีความสุขและเป็นคนดีได้
เขากล่าวว่า “ อย่าแปลกใจ ถ้าเห็นใครที่มีความรู้สึกไม่พอใจเมื่อถูกบอกให้เป็นคนดี
อันที่จริงแล้วความรู้สึกนี้อาจเกิดจากคนๆนั้นอาจไม่เข้าใจว่าคำว่า “เป็นคนดี” นั้นแท้จริงเป็นอย่างไรก็ได้”

เรามาดูว่า ความประพฤติดีคืออะไร

เราอาจจะไม่เข้าใจเลยกับความหมายว่า ความประพฤติดีคืออะไร
เพราะว่าบางทีในสังคม คนที่บอกให้เราประพฤติดี ทำดี
กลับทำในบางสิ่งที่ทำให้เราเกิดความกังขากับคำว่า “ประพฤติดี” เสียเอง
อย่างเช่น ในโรงเรียนครูสอนว่า การสูบบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดีเป็นการประพฤติตัวที่ไม่ดี
แต่ครูและผู้ปกครองหรือบุคคลที่เรานับถือกลับสูบบุหรี่เสียเอง
หรือเช่นคำพูดที่ว่า “เด็กๆควรอยู่เงียบๆ ไม่ควรออกความคิดเห็น”
นั่นคือหมายความว่า การเป็นคนดีประพฤติดี คือการไม่มีบทบาทอะไร

และอีกส่วนหนึ่งของการเป็นคนดี ในทุกยุคทุกสมัยและในเกือบทุกหนทุกแห่ง
มนุษย์ยกย่อง ค่านิยมบางอย่างที่เรียกว่า “คุณธรรม”
คุณสมบัติเหล่านี้เราได้ยกให้กับผู้มีปัญญา นักบวช นักบุญ และเทพเจ้าต่างๆ
สิ่งเหล่านี้แหล่ะที่ทำให้คนที่ป่าเถื่อนและคนมีวัฒนธรรมแตกต่างกัน
และขีดเส้นแบ่งระหว่างความจลาจลยุ่งเหยิงกับสังคมที่มีระเบียบวินัย

แต่มันมีทางที่จะทำให้ท่านสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนสมบูรณ์ได้
ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องมีคนอื่นมาบอกหรือต้องมีคำสอน
หรือต้องค้นคว้าอ่านจากตำราต่างๆ เล่มหนาๆจากคำสอนของนักปรัชญาเพื่อจะรู้ว่า “ความดี” คืออะไร

ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ลองคิดทบทวนดูว่า ท่านต้องการให้คนอื่นปฏิบัติกับท่านอย่างไร
แล้วท่านจะพบว่าอะไร คือคุณธรรมของมนุษย์
จงนึกว่าท่านต้องการให้เขาปฏิบัติแบบไหนกับท่าน
ก่อนอื่นท่านคงต้องการให้เขาปฏิบัติกับท่านอย่างเที่ยงตรง
ท่านคงไม่ต้องการให้เขาพูดไม่จริงเกี่ยวกับท่าน หรือประณามท่านอย่างรุนแรง ใช่หรือไม่

ท่านคงต้องการให้เพื่อนของท่านมีความซื่อสัตย์และไม่ทรยศ กล่าวร้าย ให้ร้ายท่าน
ท่านต้องการให้คนอื่นปฏิบัติต่อท่าน อย่างมี “น้ำใจเป็นนักกีฬา”
ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือการตบตาหลอกลวงท่าน
ท่านต้องการให้คนอื่นมีความยุติธรรมต่อท่านในเรื่องใ ดๆที่ต้องเกี่ยวข้องกัน

ท่านต้องการให้คนอื่นซื่อสัตย์ไม่คดโกงท่านใช่ไหม
ท่านต้องการให้คนอื่นมีเมตตากรุณาไม่โหดร้ายต่อท่านหรือไม่
เมื่อท่านรู้สึกหดหู่ใจ ท้อถอยในบางครั้ง ท่านอยากให้คนอื่นเห็นใจท่าน ปลอบใจท่าน แทนการว่าอย่างรุนแรง
ท่านอยากให้เขาสงบสติอารมณ์และควบคุมตัวเองได้ ใช่หรือไม่

ถ้าท่านมีข้อตำหนิหรือข้อบกพร่อง ถ้าท่านทำความผิด ท่านคงอยากให้คนอื่นอดทนและเห็นใจ
ไม่ติเตียนและวิพากย์วิจารณ์ แทนที่จะมุ่งจับผิดและทำโทษ ท่านคงอยากให้เขายกโทษให้มากกว่าใช่ไหม

ท่านอยากให้คนอื่นใจดีกับท่าน มีความกรุณาปราณีและไม่ตระหนี่ขี้เหนียวกับท่านหรือไ ม่
ท่านคงชอบให้ผู้อื่นเคารพในตัวท่าน มากกว่าการว่าท่าน
ท่านคงชื่นชอบให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวท่าน มากกว่าระแวงท่านอย่างแน่นอน

ท่านต้องการให้ผู้อื่นสุภาพต่อท่าน และปฏิบัติอย่างให้เกียรติท่านหรือเปล่า
ท่านอยากให้ผู้อื่นนิยมชมในตัวท่าน
และเมื่อท่านทำความดีกับผู้อื่น ท่านคงอยากให้คนอื่นเห็นว่าท่านเป็นคนดี จริงไหม
ท่านคงอยากให้คนอื่นเป็นกันเองกับท่าน และในบางครั้งท่านก็ต้องการความรักจากผู้อื่นด้วยใช่ หรือไม่

และโดยเฉพาะแล้วท่านคงไม่อยากให้ใครมาเสแสร้ง แสดงความรู้สึกหรือกระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้กับท่าน
ท่านคงต้องการให้เขาแสดงออกมาจากความจริงใจ
ด้วยความภาคภูมิใจในการกระทำของเขาเอง และนอกจากนี้ยังมีข้อพึงปฏิบัติ อีกหลายอย่างที่ท่านคงจะนึกได้

ทั้งหมดนี้ คงจะทำให้ท่านสามารถสรุปได้ว่า “กฎทอง” หรือการกระทำอันดีงามมีศีลธรรมคืออะไรบ้าง

ท่านไม่จำเป็นต้องจินตนาการมากมาย
เพียงแต่ใช้ความรู้สึกท่านเองว่า ถ้ามีผู้ปฏิบัติต่อท่านอย่างที่ท่านกล่าวมานั้น ท่านจะรู้สึกอย่างไร
ชีวิตท่านคงจะมีความสุขทีเดียว
และท่านคงไม่มีเรื่องที่จะคิดร้ายกับคนที่ปฏิบัติกับ เราเช่นนี้อย่างแน่นอน

เมื่อท่านตัดสินใจได้ด้วยตนเองได้แล้วว่า คุณความดีของมนุษย์คืออะไร
โดยนึกดูว่าท่านอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติกับท่านอย่างไร
เมื่อนั้นท่านจะเลิกสงสัยว่า การปฏิบัติที่ถูกต้องนั้นคืออะไร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำความดี ไม่ได้หมายความว่า เป็นการอยู่นิ่งๆแบบไม่พูดหรือไม่ทำอะไรปล่อยไปเรื่อยๆ
“การเป็นคนดี” เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และสำคัญทีเดียว
มันไม่ใช่เรื่องที่สนุกเลย ถ้าคนเราต้องอยู่คนเดียวและเงียบเหงามืดมน
การทำความดีไม่ใช่แบบนี้ การทำความดีเป็นเรื่องที่สนุกสนานร่าเริง
ความสนุกที่มาจากหัวใจที่บริสุทธิ์
คนที่ปราศจากศีลธรรม จะมีชีวิตที่เศร้าหมองเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน
คุณงามความดีไม่เกี่ยวข้องกับความเศร้าหมอง
ตรงกับข้ามมันเกี่ยวข้องกับความสนุกสนานร่าเริงของชีวิต

ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านปฏิบัติต่อคนรอบข้างอย่างยุติธรรม ซื่อสัตย์ มีความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา
ความเป็นกลาง ความซื่อตรง ความเมตตา ความเห็นใจ ความปราณี
ความมีสติ ความอดทน และให้อภัย ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ความเคารพ ความสุภาพ ความภาคภูมิ ความชื่นชม ความเป็นกันเองความรัก
และท่านให้สิ่งเหล่านี้กับคนอื่นด้วยความภูมิใจ ความเต็มใจ
มันอาจจะใช้เวลาหน่อย แล้วคนอื่นจะค่อยๆทำตามท่านในขณะเดียวกัน
ชีวิตท่านและผู้อื่นก็จะถูกยกระดับขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ความสามารถที่จะอยู่รอดในสังคมของเราและคนอื่นก็จะดี ขึ้น
แน่นอนชีวิตของเราก็จะมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของความมีมนุยษยสัมพันธ์ที่ดี

ก้อนหินก้อนหนึ่งที่ถูกโยนลงบนสระน้ำ สามารถทำให้เป็นระลอกจนถึงฝั่งอันไกลได้
ชีวิตคนเราก็จะมีความสุขร่วมกันได้เช่นกัน ถ้าท่านนำข้อพึงปฏิบัตินี้มาใช้

“ พยายามปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกับเราต้องการให้เขาปฏิบัติกับเรา”

นักการศึกษาชาวอเมริกัน


ที่มา http://samathi.com/meditation/showthread.php?t=674
ภาพจาก http://www.allabout-energy.com

เคล็ดลับในการสร้างพลังความจำ


เคล็ดลับในการสร้างพลังความจำ
ความสามารถในการจำของมนุษย์ มีความพิเศษเหนือสัตว์อื่นๆ
ความจำ เป็นสิ่งวิเศษที่เราสามารถเรียกคืนประสบการณ์เก่าๆ กลับมาอีกครั้ง

หากไม่มีความจำ เราคงลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต
และเราต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่เหมือนเด็กอ่อนที่เพิ่งเกิดทุกวัน
คล้าย ๆ กับคนแก่ที่ความจำเลอะเลือน กลับกลายเป็นเหมือนเด็กที่ช่วยตัวเองไม่ได้

เพราะความจดจำได้ เราจึงเรียนรู้ได้ โดยเอาสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมาวิเคราะห์และปรับปรุง
เราสามารถเรียกคืนความจำเก่า ๆ จากจิตใต้สำนึกเมื่อเราต้องการ
และจากความรู้อันนี้ทำให้เรา สามารถทำงานบางอย่างที่เราได้เรียนมาอย่างช่ำชอง
หรือหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่ไม่ดีได้

จิตใต้สำนึกของเรา บันทึกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพราะทุกวันที่เราตื่นนอน เราจำได้ว่าเมื่อคืนเรานอนหลับดีหรือไม่

ความจำ เป็นสิ่งไม่ตาย แต่สถิตถาวรภายใต้จิตสำนึก
หากเรามีการฝึกฝนที่ดี เราสามารถเรียกความจำเก่าๆ ในชีวิตปัจจุบัน และแม้แต่ในอดีตชาติก่อนๆ กลับมาได้

ความจำของเราถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือความจำชั่วคราว และความจำถาวร
ความจำชั่วคราวของเรา จำได้ไกลเพียงแค่ในชีวิตปัจจุบัน
ส่วนความจำถาวร บันทึกทุกสิ่งที่เกิดกับจิตวิญญานของเราในทุกภพทุกชาติ

บางคนสามารถจำได้แค่เหตุการณ์ในชีวิตนี้ แต่บางคนจำได้ทั้งไกลถึงอดีตชาติ
แต่บางคนจำไม่ได้แม้เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่วัน

คุณภาพของการจำ แตกต่างกันไป แล้วแต่คุณภาพของสมองแต่ละคน
การศึกษา การฝึกสมาธิ และการฝึกฝนความจำในแบบต่างๆ สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจำได้
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ต้องเป็นคนที่มีความจำที่ดี


การบริหารร่างกายเพิ่มความจำ
ท่าการบริหารร่างกายที่เหมาะสม เช่น การฝึกโยคะ การรำมวยจีน การเดินจงกรม สามารถพัฒนาความจำได้
ในปัจจุบัน เครื่องจักรเข้าทดแทนทุกส่วนของการใช้แรงงานในชีวิตประจำวัน
ทำให้คนเราเกิดความเกียจคร้านในการการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
จึงทำให้บางคนคิดค้นหาอุปกรณ์ออกกำลังภายในบ้านขึ้น เพื่อการบริหารร่างกาย

แต่เราควรให้มีสติกำกับการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นๆ จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่ก้มงอตัวไปมา
เพราะการที่มีสติและสมาธิในการเคลื่อนไหวในทุกอริยาบท
ทำให้เราสามารถควบคุมและส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆของ อวัยวะในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
เช่นเดียวกับการฝึกกังฟูของจีน


อาหารที่เพิ่มพลังความจำ
อาหารบางชนิดบำรุงสมอง บางชนิดบำรุงกล้ามเนื้อ บางชนิดบำรุงประสาท
และแต่ละชนิดบำรุงแต่ละส่วนของอวัยวะ หากเราต้องการเพิ่มพลังสมอง เราก็ต้องทานอาหารที่บำรุงสมอง
โดยเฉพาะโปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการบำรุงสมอง เมล็ดอัลมอลด์นำมาบดผสมกับน้ำมะนาว หรือ น้ำส้ม
และดื่มก่อนนอนทุกคืนจะช่วยให้ความจำดีขึ้น การดื่มนม และกินเนยแข็ง (Cheese) จึงเพิ่มพลังสมอง

เมื่อใดคุณมีความกังวล อ่อนล้า ลองดื่มน้ำมะนาวสัก 1-2 แก้ว เอาน้ำเย็นลูบหัว
แล้วนำมาแตะกระหม่อม คิ้ว จมูก และหู จะทำให้เส้นประสาทสงบลง และทำให้ความจำดีขึ้นทันที

หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เพราะมันจะไปตกตะกอนเป็นคอเลสเตอร์รอล ตามผนังเส้นเลือดแดง

ผู้ถือศีลสมาธิบางท่านที่เคร่งครัดมักจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ
เพราะเชื่อว่าเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อหมูและเนื้อวัว ทำลายสุขภาพ เพราะมีกรดยูริคสูง ทั้งหมูและวัวมีความจำที่ต่ำ
เมื่อเรากินเนื้อของสัตว์เหล่านี้ มันจะนำไปสร้างร่างกายและจิตของเราตามลักษณะของสัตว์เหล่านี้ด้วย


การฝึกบริหารความจำ
ความจำที่ดีเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน คนที่มีร่างกายที่ไม่แข็งแรงก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้
ชีวิตเราไม่ว่าด้านใดๆก็สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ถ้าเรามีความพยายาม
แม้ความผิดปรกติของร่างกายทางกรรมพันธุ์ก็มีการพิสูจน์กันแล้วว่า สามารถแก้ได้ด้วยการฝึกสมาธิ

คนส่วนมากไม่รู้จักการฝึกสมาธิ ทำให้ความสามารถของสมองที่แฝงเร้นอยู่ ไม่ถูกนำมาใช้ และ
หากเราขาดการพัฒนาทางจิตหรือฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ นานเข้าก็นำไปสู่ความเสียหายทางสมองและจิตได้
เพราะสมองเหมือนเช่นส่วนอื่นของร่างกาย ต้องการออกกำลัง บริหารอยู่เสมอ เพื่อคงให้อยู่ในสภาพที่ดี

การพัฒนาความจำไม่เพียงแต่เราต้องกินอาหารที่บำรุงสุขภาพแล้ว เรายังต้องฝึกจิต
พยายามใช้ความจำ ฝึกการจำ เช่นมองภาพใดภาพหนึ่ง อาจเป็นภาพพุทธรูป หรือแม้แต่จะเป็นภาพวิวธรรมดาก็ได้
แล้วลองหลับตานึกภาพนั้นในใจ
พยายามนึกถึงเพลงหรือบทสวดมนต์ แล้วร้องในใจ หรือสวดในใจเพื่อพัฒนาความจำ

สิ่งที่ทำด้วยอารมณ์ ก็สามารถพัฒนาจิตใจ
เพราะทุกคนจำเหตุการณ์ในชีวิตตอนที่ดีใจที่สุด และเสียใจที่สุดได้เสมอ

เนื่องจากความรู้สึกตั้งอยู่ในส่วนลึกของความจำ
ฉะนั้น การแต่งโคลงกลอน หรือแม้แต่การฝึกบวกเลข ลบเลขในใจ
ก็เป็นวิธีที่ดีสำหรับพัฒนาความจำ และส่งเสริมสมาธิ


การฝึกสมาธิเสริมสร้างความจำ
การเพิ่มพลังความจำ เราต้องทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจมั่น คนส่วนมากทำทุกอย่างแบบไร้สติ
การกระทำและความคิด จึงมีช่องว่างที่ไม่เชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเหตุให้คนส่วนมากจำอะไรได้ไม่ได้ดี
เราควรทำกิจการงานทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำงานก็ทำด้วยความตั้งใจ เรียนก็ฟังครูสอนด้วยความตั้งใจ
จะเล่นกีฬาก็เล่นด้วยความตั้งใจ เมื่อฝึกสมาธิก็ไม่ทิ้งคำบริกรรม

สมาธิคือการตั้งใจมั่น มั่นในการกิน เดิน นอน นั่ง คด คู้ เหยียด ทุกอริยาบท
ความจำได้หมายรู้มีไว้ให้เราระลึกถึงความดีที่เราเคย ก่อ ที่เราเคยสร้าง

การฟื้นความจำที่เราเคยเกลียดใคร โกรธใคร อาฆาตใคร
เป็นการใช้ความจำในทางที่ไม่ถูกต้อง และยัง ก่อให้เกิดโทษ ตรงกันข้ามเราควรฟื้นความจำ ในแต่สิ่งที่ดี

แต่บางครั้งการจำเหตุการณ์ที่ทำให้เราเกิดทุกข์ ที่เราเคยทำผิดพลาดไป แล้วนำประสบการณ์นั้นมาปรับปรุงแก้ไข
ย่อมเป็นการใช้ความจำในทางที่ถูกต้อง แต่อย่าจมปรักอยู่ความความผิดหวังในในอดีตซึ่งทำให้เราไม่ก้าวหน้า
ไม่ควรฟื้นความจำที่ไม่ดีเหล่านั้นจะดีที่สุด หากนึกขึ้นได้เราเพียงแต่หยุดคิดถึงมัน

จงฝึกคิดแต่สิ่งที่ดี และคุณความดีที่เราทำ
เพราะความจำสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เป็นพลังงานสุดท้ายที่ขับเคลื่อนเราไปสู่ภพใหม่
และการระลึกได้ในความดีที่เราทำในขณะนั้นเท่านั้น จึงจะนำเราไปสู่สุขคติภูมิ


ที่มา
http://www.samathi.com/meditation/showthread.php?t=888
http://board.agalico.com/showthread.php?t=4467

ภาพจาก http://www.123rf.com/photo_331966.html

5 วิธีพัฒนาอารมณ์ให้เข้าสังคมได้


5 วิธีพัฒนาอารมณ์ให้เข้าสังคมได้
* คุณภาพชีวิต เน้นรู้จักตัวเอง ยอมรับผู้อื่น

ใน ทางจิตวิทยาเชื่อว่า อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งที่พัฒนาได้
แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ เสนอแนะวิธีการพัฒนาอารมณ์ไว้ 5 ประการ ดังนี้

1. รู้จักอารมณ์ตนเอง

การรู้จักอารมณ์ตนเอง จะเป็นพื้นฐานในการควบคุมอารมณ์เพื่อแสดงออกอย่างเหมาะสม
การรู้จักอารมณ์ตนเองก็คือการรู้ตัว หรือการมีสติในทรรศนะของพุทธศาสนานั่นเอง
ปกติเมื่อเราเกิดอารมณ์ใดๆ ขึ้นมา เราจะตกอยู่ในภาวะใดภาวะหนึ่งใน 3 ภาวะ ดังต่อไปนี้

ถูกครอบงำ หมายถึง
การที่เราไม่สามารถฝืนต่อสภาพอารมณ์นั้นๆ ได้ จึงแสดงพฤติกรรมไปตามสภาพอารมณ์ดังกล่าว
เช่น เมื่อโมโหก็อาจจะมีการขว้างปาข้าวของหรือส่งเสียงดังโดยไม่สนใจใคร

ไม่ยินดียินร้าย หมายถึง
การไม่ยินดียินร้ายต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือทำเป็นละเลยไม่สนใจเพื่อบรรเทาการแสดงอารมณ์
เช่น ทำเป็นไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่จริงๆ ก็รู้สึกโกรธ

รู้เท่าทัน หมายถึง
การรู้เท่าทันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น มีสติรู้ว่าควรจะทำอย่างไร จึงจะเหมาะสมที่สุดในขณะที่เกิดอารมณ์นั้นๆ
เช่น โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ก็สามารถควบคุมความโกรธนั้นได้ ระงับอารมณ์โกรธได้
และหาวิธีจัดการแก้ไขได้อย่างเหมาะสม


ทำอย่างไรให้รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง?

ทบทวน
ถ้ารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามีปัญหาในการแสดงอารมณ์ ลองให้เวลาทบทวนอารมณ์ด้วยใจที่เป็นกลาง
ไม่เข้าข้างตนเองว่าเรามีลักษณะอารมณ์อย่างไร เรามักแสดงออกในรูปแบบไหน
แล้วรู้สึกพอใจ ไม่พอใจอย่างไร คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ต่อการแสดงอารมณ์ในลักษณะนั้นๆ

ฝึกสติ
ฝึกให้มีสติและรู้ตัวอยู่เสมอ ว่าขณะนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง หรือต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
สบายใจ ไม่สบายใจ แล้วลองถามตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับความรู้สึกและความคิดนั้น
ความรู้สึกนั้นมีผลอย่างไรกับการแสดงออกของเรา


2. จัดการกับอารมณ์ตนเองได้

การ จัดการกับอารมณ์ตนเองได้ หมายถึง
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และสามารถแสดงออกไปได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
แต่การที่เราจะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่เพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมอารมณ์


เทคนิคการจัดการกับอารมณ์ตนเอง

ทบทวน ว่ามีอะไรบ้างที่เราทำลงไป เพื่อตอบสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้น และพิจารณาว่าผลที่ตามมาเป็นอย่างไร

เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสั่งตัวเองว่าจะทำอะไรและจะไม่ทำอะไร

ฝึกรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เราต้องเกี่ยวข้องในด้านดี ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เศร้าหมอง

สร้างโอกาสจากอุปสรรค หรือหาประโยชน์จากปัญหา โดยการเปลี่ยนมุมมอง
เช่น คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ ความท้าทายที่จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้น เป็นต้น

ฝึกผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะกับตนเอง
เช่น ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ เดินจงกรม เล่นดนตรี ปลูกต้นไม้ เป็นต้น


3. สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง

การ มองหาแง่ดีของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่า
สามารถเผชิญกับเหตุการณ์นั้นได้ และทำให้เกิดกำลังใจที่ก้าวไปสู่เป้าหมายที่วางไว้


เทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง

ทบทวน และจัดอันดับสิ่งสำคัญในชีวิต
โดยให้จัดอันดับความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็นทั้งหลายทั้งปวง
แล้วพิจารณาว่าการที่เราจะบรรลุสิ่งที่ต้องการนั้น เรื่องไหนที่พอเป็นได้ เรื่องไหนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

ตั้ง เป้าหมายให้ชัดเจน เมื่อได้ความต้องการที่มีความเป็นไปได้แล้ว ก็นำมาตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
เพื่อวางขั้นตอนการปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่จุดหมายนั้นๆ

มุ่ง มั่นต่อเป้าหมาย
ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความฝัน ความต้องการของตนเอง
ต้องระวังอย่าให้มีเหตุการณ์ใด มาทำให้เราเกิดความไขว้เขวออกนอกทางที่ตั้ง ไว้

ลด ความสมบูรณ์แบบ
ต้องทำใจยอมรับได้ว่า สิ่งที่เราตั้งใจไว้อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ หรือไม่เป็นดังที่เราคาดหวัง 100 %
การทำใจยอมรับความบกพร่องได้จะช่วยให้เราไม่เครียด ไม่ทุกข์ ไม่ผิดหวังมากจนเกินไป

ฝึกมองหาประโยชน์จากอุปสรรค เพื่อสร้างความรู้สึกดีๆ ที่จะเป็นพลังให้เกิดสิ่งดีๆ อื่นๆ ต่อไป

ฝึก สร้างทัศนคติที่ดี
หามุมมองที่ดีในเรื่องที่เราไม่พอใจ (แต่ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้)
มองปัญหาให้เป็นความท้าทายที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างพลังและแรงจูงใจให้ผ่านพ้นปัญหานั้นๆ ไปได้

หมั่น สร้างความหมายในชีวิต ด้วยการรู้สึกดีต่อตัวเอง
นึกถึงสิ่งที่สร้างความภูมิใจและพยายามใช้ความสามารถที่มี ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้กำลังใจตนเอง คิดอยู่เสมอว่าเราทำได้ เราจะทำและลงมือทำ


4. รู้อารมณ์ผู้อื่น

การ รู้และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น และสามารถแสดงอารมณ์ตนเองตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
โดยเฉพาะกับคนที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย
จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วม หรือทำงานด้วยกันได้อย่างดีและมีความสุขมากขึ้น

เทคนิคการรู้อารมณ์ผู้อื่น

ให้ความสนใจในการแสดงออกของผู้อื่น
โดยการสังเกตสีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้ำเสียง ตลอดจนการแสดงออกอื่นๆ

อ่าน อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น
จากสิ่งที่สังเกตเห็นว่า เขากำลังมีความรู้สึกใด โดยอาจตรวจสอบว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงหรือไม่ด้วยการถาม
แต่วิธีนี้ควรทำในสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะมิฉะนั้นอาจดูเป็นการวุ่นวาย ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่นได้

ทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของบุคคล
เรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเราว่าถ้าเราเป็นเขา เราจะรู้สึกอย่างไรจากสภาพที่เขาเผชิญอยู่


5. รักษาสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
การมีความรู้สึกที่ดีต่อกันจะช่วยลดความขัดแย้ง
และช่วยให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์

เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

ฝึกการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น ด้วยการเข้าใจ เห็นใจความรู้สึกของผู้อื่น

ฝึก การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน
ฝึกการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี และไม่ลืมที่จะใส่ใจในความรู้สึกของผู้ฟังด้วย

ฝึกการแสดงน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการให้และรับ

ฝึกการให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจ รู้จักยอมรับในความสามารถของผู้อื่น

ฝึกการแสดงความชื่นชม ให้กำลังใจซึ่งกันและกันตามวาระที่เหมาะสม


ที่มา : http://www.thaihealth.or.th/node/10565

บริหารสมองฟิตด้วยเทคนิคง่ายๆ


บริหารสมองฟิตด้วยเทคนิคง่ายๆ
สมองของเราก็ต้องหมั่นบริหารบ่อยๆ ภาวะโรคสมองเสื่อมจะได้ ไม่มาเยือน
สำนักพิมพ์ บี พลัส พับลิชชิ่ง จัดมินิเวิร์กช็อป “ปฏิบัติการฟิตสมองของคนทุกวัย”
ที่ร้านนายอินทร์ พารากอนเมื่อไม่นานมานี้

อดีตแชมป์รายการ “อัจฉริยะข้ามคืน” หน้าสวย อารมณ์แจ่มใส “หนูดี-วนิษา เรซ” ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ
มีเทคนิคง่ายๆ ว่า “เริ่ม จากปรับสมองในส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน เช่น ไม่ค่อยได้เขียนหนังสือบ่อย
ก็อาจหาวิธีสนุกๆ คือ ลองเขียนอักษรบนอากาศเริ่มจากข้างที่ถนัด จากนั้นก็ลองเขียนข้างที่ไม่ถนัดดู
แล้วต่อด้วยเขียนไปพร้อมๆกัน จะสังเกตได้ว่า ถ้าเขียนพร้อมๆ กันมันก็จะเหมือนเขียนบนกระจกเงา
อีกสักพักเราก็จะชิน จนพัฒนาไปถึงการเขียนหนังสือย้อนจากหลังมาหน้าได้

หรืออีกวิธีที่เบสิกคือ ระบบการหายใจ หลายคนอาจสงสัยว่า มันไปเกี่ยวกับการบริหารสมองได้อย่างไร
อยากจะอธิบายว่า สมองมีความต้องการปริมาณออกซิเจนคิดเป็น 20% ของร่างกาย
แม้สมองจะมีขนาดแค่ 2% ของร่างกาย แต่ก็ต้องการออกซิเจนสูงมาก เราจึงต้องสูดลมหายใจรับออกซิเจนเข้าไป
เพื่อให้สมองทำงานได้เต็มที่และมีประสิทธิภาพ

การหายใจให้ถูกวิธี ควรยืดตัวให้ตรงหายใจให้เต็มปอด จังหวะที่หายใจเข้าให้ท้องป่อง หายใจออกท้องแฟ่บ
นี่ถือเป็นเทคนิคสำคัญที่อาจดูเล็กน้อยแต่สำคัญมากนะคะ”

พญ.ธนีนาถ ตรีรัตน์วิรพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง กล่าวถึงภาวะโรคสมองเสื่อม
มักจะพบในคนอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป สร้างภาระให้กับผู้ที่ดูแล เพราะเป็นโรคที่เรื้อรัง
“สาเหตุที่เกิดโรคสมองเสื่อมมาจากการเป็นอัลไซเมอร์
แต่ในส่วนของคนไทยส่วนใหญ่เกิดจากโรคหลอดเลือด, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง
ไขมันเกาะเส้นหลอดเลือดมาก ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองลำบาก ฝืด ติดขัด
อาการระยะแรกคือ ความจำเลอะเลือน, เสื่อมในการใช้ภาษา, เสื่อมในด้านพฤติกรรมและอารมณ์

คนที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่เรียกว่า ลืมแบบไม่เหมาะสม เช่น ลืมโทรศัพท์ในตู้เย็น
สามารถรักษาได้ด้วยการบริหารตามหลัก 5 อ. คือ ออกกำลังกาย, อาหาร, อโรคยา, อารมณ์ และอนามัยค่ะ”


ที่มา :http://women.thaiza.com/detail_47082.html

5 ส.เพื่อความสำเร็จบนเส้นทางนักพูด


5 ส.เพื่อความสำเร็จบนเส้นทางนักพูด
1. เสาะหาเวที
การเป็นสุดยอดมืออาชีพต้องท่องคำว่า “ฝึกฝน….และฝึกฝน” อย่าลังเลที่จะได้พูด
การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ย่อมเกิดความชำนาญและบรรลุความฝันที่เราต้องการได้

2. เสริมสร้างคุณวุฒิ ไม่ว่าจะทางด้านประสบการณ์ อายุ การศึกษา
สิ่งเหล่านี้ผู้พูดจะต้องเสริมสร้างให้ตัวเองเพื่อให้เกิดการยอมรับ ก็จะทำให้เราเดินไปสู่ทางแห่งความสำเร็จ

3. สะสมข้อมูล
ข้อมูล คือบ่อเกิดแห่งปัญญา ถ้ามีข้อมูลในสมองมาก เมื่อพูดอะไรก็จะเกิดความมั่นใจ
ต้องหาข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา

4. สร้างสรรค์ความคิด
ใช้ความคิดให้บ่อย นำความคิดออกมาใช้ให้มาก ๆ ก็จะทำให้ภูมิปัญญามีมากขึ้น ฉลาดขึ้น เก่งขึ้น
การที่ได้ประลองความคิดหรือได้ฟังผู้ที่รู้กว่า จะทำให้เราได้ความรู้และฉลาดมากขึ้นในที่สุด

5. แสวงหาโอกาส
เสาะหาโอกาส จงเดินเข้าไปเสาะหาโอกาส อย่ารอให้โอกาสเดินเข้ามาหา รักทางไหนมุ่งมั่นไปทางนั้น
สร้างโอกาสคือการสร้างหรือหาช่องทางในการพูด ถ้าโอกาสยังไม่มาจงหาหนทางใหม่
ถ้าไม่มี สร้างมันขึ้นมาเอง แล้วโอกาสนั้นย่อมจะเป็นของเราอย่างแน่นอน

เส้นสายแห่งโอกาส คือการสร้างสัมพันธ์กับทุกคน
เพราะการที่เราจะสำเร็จได้นั้น ถ้าขาดเพื่อนหรือพันธมิตรที่หวังดี ย่อมจะเดินไปถึงจุดหมายได้ยากยิ่งนัก

“คิดด้วยหัวใจ…..ทำด้วยหัวใจ……และพูดด้วยหัวใจ”
จงลงมือทำด้วยหัวใจที่ศรัทธาในลานนั้น


ที่มา http://www.bankrunu.com/?p=2409
ภาพจาก http://watchmenonthetower.ning.com/

คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย


คู่มือการป้องกันการฆ่าตัวตาย
ในความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็ย่อมมีช่วงเวลาของความอ่อนแอ อ่อนล้าในชีวิตอยู่บ้าง
เพราะไม่มีใครที่อยู่อย่างปราศจากปัญหา
ซึ่งในช่วงนี้เอง เป็นช่วงที่คนเราต้องการใครสักคน มาช่วยประคับประคอง และให้กำลังใจเพื่อเอาชนะอุปสรรค
และสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างงดงาม

กำลังใจ คำปลอบใจ คือสายใยต่อชีวิต คนเหล่านี้ต้องการความช่งยเหลือ
ต้องการคนเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจแก่เขาได้ ความเมตตาของท่าน จะช่วยต่อชีวิตของเขาได้

ปัญหาการฆ่าตาย ผ่อนคลาย และป้องกันได้
การ ฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กับคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งปรากฎอยู่ในสังคมและชุมชนต่างๆอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถป้องกันได้ หากว่าประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน ช่วยเหลือ

โดยประชาชนมีเจตคติที่ดี มีความเห็นอกเห็นใจ
รวมทั้งความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของการฆ่าตัวตาย
วิธีการสังเกตสัญญาณเตือนที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตายเสียแต่เนิ่นๆ
และรู้แหล่งหรือบุคคลที่จะให้ความช่วยเหลืออื่นๆ ที่จำเป็น ย่อมจะทำให้ปัญหาการฆ่าตัวตาย
และพยายามฆ่าตัวตายของคนในชุมชนต่างๆ ลดลงไปมาก และนำความสงบสุขมาสู่ชุมชนนั้น


คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเราถึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย
* มองไปทางไหนก็เห็นแต่ปัญหา ไม่เห็นทางออก เจอแต่ทางตัน
* ซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หดหู่ ท้อแท้
* ป่วยเป็นโรคจิต หลงผิดคิดว่ามีคนสั่งให้ไปตาย หรือระแวงว่าจะมีคนมาฆ่า ก็เลยอยากตายไปให้พ้น
* ติดเหล้า ติดยา ไม่ได้เสพก็ทรมาน พอเสพจนเมาก็ขาดสติ ไม่มีใครอยากเหลียวแล
* มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยทางกาย จนไม่สามารถทนได้ จึงฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นทุกข์

คนที่ฆ่าตัวตายต้องการสิ่งเหล่านี้
* ความเข้าใจ
* เพื่อนที่จริงใจ
* การระบายความทุกข์
* ความใส่ใจ


ลักษณะบุคคลที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
หากพบว่าใครมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อต่อไปนี้ ให้ระวังว่าอาจจะมีความเสียงต่อการฆ่าตัวตาย

1. พูดถึงความตายหรือการฆ่าตัวตาย หรือบ่นว่าอยากตาย
ไม่อยากเป็นภาระใคร รู้สึกว่าตนเองไม่มีค่า ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร

2. พูดหรือเขียนสั่งเสีย

3. เคยพยายามฆ่าตัวตาย

4. นิสัยเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา เศร้าซึม แยกตัวเอง หมดอาลัยตายอยาก
ร้องไห้บ่อยๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ มีความรู้สึกผิด และดูถูกตนเอง

5. ป่วย เป็นโรคจิต เช่น มีอาการหูแว่วว่ามีคนมาสั่งให้ไปตาย
หลงผิดคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงอยากตายให้พ้นๆ มีความคิดแปลกๆ ว่าถ้าตายแล้วจะช่วยไม่ให้โลกแตก เป็นต้น

6. ติดสุราหรือยาเสพติด จนเลิกไม่ได้ ครอบครัวและชุมชนไม่ยอมรับ

7. มีความทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวร้ายแรง โรคเรื้อรัง และรักษาไม่หาย เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง เป็นต้น

8. มีความพิการจากการสูญเสียอวัยวะสำคัญ จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือเสียความสวยงาม

9. สูญเสียบุคคลหรือของรักที่มีความสำคัญต่อชีวิต การตายจาก หรือแยกจากในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน

10. ถูกเร่งรัดหนี้สินจนหาทางออกไม่ได้ สินเนื้อประดาตัว หมดทางทำมาหากิน

11. เกิดการโต้เถียง ทะเลาะวิวาทรุนแรงบ่อยๆ ระหว่างคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง

ถ้า มีลักษณะดังข้อ 1-6 แนะนำหรือชักชวนให้ขอคำปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
หรือโรงพยาบาลชุมชนโดยด่วน เพราะมีความเจ็บป่วยทางจิตใจซึ่งรักษาได้ โรคบางอย่างจำเป็นต้องรักษาด้วยยา

ถ้าพบข้อใดข้อหนึ่ง ให้ดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะข้อ 1-6 เพียงข้อใดข้อหนึ่ง รีบให้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน
โดยขอให้ดำเนินการช่วยเหลือตามวิธีที่ได้แนะนำไว้ในหน้านี้


เราจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าตัวตายได้อย่างไร

1. สังเกต ว่ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ได้กล่าวมาแล้วทั้ง 11 ข้อ หรือไม่
ถ้ามีให้เฝ้าระวังว่ามีโอกาสกระทำได้จริง ควรเข้าไปพูดคุยซักถามด้วนความเอาใจใส่ พร้อมจะช่วยเหลือ

2. ลอง ถามไถ่ว่ามีการเตรียมวิธีที่จะทำร้ายตัวเอง หรือไม่อย่างไรถ้าผู้ช่วยเหลืออยู่ในฐานะเพื่อนบ้าน
หรือมิใช่คนในครอบครัว ให้บอกญาติหรือคนในครอบครัวให้คอยระวังอย่างใกล้ชิด ให้อยู่ในสายตา
และให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ ที่เขาเตรียมไว้เพื่อทำร้ายตัวเอง

3. พูดคุยให้คำปรึกษา ปลอบใจ ให้เขามีสติ ค่อยๆคิดหาทางแก้ไขปัญหา
อาจจะแนะนำให้เขาปรึกษาคนที่เขาไว้วางใจ และนับถือ เช่น ญาติ พระ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ

4. กระตุ้นให้ญาติให้กำลังใจ ไม่ตำหนิ หรือลดการทะเลาะเบาะแว้งลง

5. ติดต่อ หาแหล่งช่วยเหลือในพื้นที่ เท่าที่จะทำได้ เช่น แหล่งฝึกอาชีพ แหล่งฟื้นฟูสมรรถภาพ
แหล่งช่วยเหลือเรื่องการเงิน เช่น กรมประชาสงเคราะห์ เป็นต้น

6. กระตุ้นให้คนในชุมชนตระหนักถึงปัญหา
และให้ความสนใจดูแล และเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน ไม่ปล่อยปละละเลย

7. ให้ ความรู้เรื่องผลระยะยาวของสุขภาพที่เกิดจากการใช้ยา หรืออุปกรณ์ในการฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ
เช่น สมองเสื่อมจากการผูกคอตาย หรือเกิดความพิการทางกายอื่นๆ


เทคนิคการปลอบใจ
เมื่อใครมีแนวโน้มที่จะคิดทำร้ายตนเอง ควรพูดปลอบใจ และให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เป็นมิตร ดังนี้

* พูด ให้ความหวัง ตัวอย่างเช่น
" ทำใจดีๆไว้ พรุ่งนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะไม่มีอะไรที่คงที่ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ความทุกข์ก็เหมือนกัน มันจะหมดไปสักวัน และพ้นผ่านไปเองในที่สุด "

* ยัง มีหนทางแก้ไขปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น
" ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข บางปัญหาต้องใช้เวลา เราลองมาช่วยกันคิดหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหากันดีกว่า "

* ให้ความมั่นใจว่า ยังมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ ตัวอย่างเช่น
" ลองปรึกษาหารือกับเพื่อน (หรือญาติพี่น้อง สามี หรือภรรยา ลูกที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) ดู "
แต่ถ้าไม่มีใครจริงๆ ยังมีหน่วยงานอีกหลายแห่งที่ยังคอยให้ความช่วยเหลืออยู่

* พูด ให้ห่วงคนข้างหลัง ตัวอย่างเช่น
" ถ้าขาดคุณเสียคน ลูกๆจะทำอย่างไร " หรือ
"ถ้าขาดคุณแล้ว พ่อแม่จะอยู่อย่างไร ใครจะช่วยดูแลท่าน ท่านแก่มากแล้ว "

* พูด ให้เห็นข้อดีของการมีชีวิต ตัวอย่างเช่น
" คุณยังมีอะไรดีๆอยู่อีกมาก เช่น มีลุก มีสามี หรือภรรยาที่ดี ที่คอยหว่งใยให้กำลังใจ " หรือ
" คุณยังมีงานทำมีทรัพย์สินเงินทอง " หรือ " การมีชีวิตอยู่ยังได้ทำบุญ ทำประโยชน์ให้ครอบครัวให้สังคมได้ "

* ใน กรณีที่เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผู้คิดทำร้ายตนเอง สามารถมีสติรับฟังเหตุผลได้ ให้พูดถึงบาปบุญคุณโทษ
ตัวอย่างเช่น " คิดทำร้ายตัวเองไม่ดีหรอก บาปกรรมเปล่าๆ กว่าจะเกิดมาเป็นคนนั้นแสนยาก "


อย่าพูดซ้ำเติมคนคิดฆ่าตัวตาย เพราะจะกลายเป็นการผลักดันให้ลงมือทำซ้ำอีก

การปลอบใจและให้กำลังใจที่ดีที่สุด คือ
การรับฟังอย่างเข้าใจ และใส่ใจความรู้สึกของผู้ประสบปัญหา และเห็นอกเห็นใจด้วยความจริงใจ



เมื่อมีการฆ่าตัวตายจะทำอย่างไร

* รีบช่วยปฐมพยาบาล และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

* ปลอบโยนญาติให้มีสติ

* ทำ ความเข้าใจกับชุมชนให้เข้าใจว่า เขาทำไปเพราะทุกข์ใจ ไม่ใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว ไม่ควรรังเกียจ
ควรเห็นใจผู้ฆ่าตัวตาย และญาติ ให้ความช่วยเหลือ และช่วยกันดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก


สิ่งที่ญาติหรือผู้ใกล้ชิด ไม่ควรพูดกับผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย
* ตายเสียได้ก็ดี
* ไม่น่ารอดมาเลย
* อย่าไปสนใจมากเดี๋ยวก็ทำอีก ไม่ตายจริงหรอก
* เก่งจริงคราวหน้าก็ให้ตายจริงซิ
* อยู่ไปก็ไม่เห็นทำประโยชน์อะไร
* ไม่ต้องฆ่าตัวตายหรอก ยังไงก็ตายอยู่ดี
* อยู่ไปนานก็ยิ่งจะสร้างภาระให้คนอื่น



แหล่งให้ความช่วยเหลือที่ติดต่อได้

* สถานีอนามัย

* โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจิตเวช

* บุคคลในชุมชนที่เคารพนับถือ ไว้วางใจ และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ
เช่น พระครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และเพื่อนบ้าน

* แรงงานจังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือด้านจัดหางาน เพื่อให้มีอาชีพ เลี้ยงตัวเองและครอบครัว

* ประชาสงเคราะห์จังหวัด ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเงิน ที่พักอาศัย
และปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร น้ำ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค


ต่อชีวิตคน ได้กุศล ผลบุญแรง


โดย กรมสุขภาพจิต
ที่มา http://www.dhammajak.net/dhamma/62.html

11/22/2552

tech news วิธีลบไฟล์ที่ลบไม่ได้

วิธีลบไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ไม่สามารถลบได้!
วันนี้เราจะมาดูวิธีการลบไฟล์ และโผลเดอร์ที่กำลังถูกเรียกใช้งานโดยโปรแกรม และแอปพลิเคชั่นอื่น หรือพูดง่าย ๆ คือถูกเรียกใช้งานอยู่ด้วยไวรัส นั่นเอง เวลาที่คุณพยายามจะลบไฟล์ หรือโฟลเดอร์ประเภทนี้คุณจะลบไม่ได้ และจะได้รับ error message ดังรูป
ซึ่ง เหตุผลใน error ที่แจ้งออกมาอาจจะเป็น “write protected” หรือเหตุผลอื่น ๆ สรุปคือถ้าลบไฟล์ หรือโฟลเดอร์ไม่ได้เรามีวิธีแก้ซึ่งเราจะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Unlocker มาจัดการกับปัญหานี้ครับ
>> Download Unlocker <<
หลัง จากที่ดาวน์โหลด และทำการลงโปรแกรมนี้เรียบร้อยแล้วให้คลิ๊กเมาส์ปุ่มขวา ไปที่ไฟล์ หรือโฟลเดอร์ที่ก่อนหน้านี้ลบไม่ได้ จากนั้นให้เลือก unlocker ดังรูป

จากนั้นถ้าไฟล์ หรือโฟลเดอร์ที่คุณเลือกถูก lock ไว้โดยโปรแกรมตัวอื่นระบบก็จะแสดงหน้าต่างรายการไฟล์ที่ถูก lock


จากนั้นคุณก็สามารถเลือกไฟล์ที่ต้องการจะ unlock ได้เลยครับ
บทความโดย 2beshop.com